โสดาบัน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย อินทร์ธนู, 14 พฤษภาคม 2011.

  1. อินทร์ธนู

    อินทร์ธนู สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +2
    มีพระอริยเจ้าทั้งหลายเคยกล่าวไว้ว่า ธรรมอันแท้จริงนั้น "ไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีจุดจบ ไม่มีการบรรลุและผู้บรรลุ" นั้นเป็นคำกล่าวที่ถูกต้องเพราะธรรมอันแท้จริงที่ว่านั่น คือ "นิพพานธรรม"นั่นเองเป็นธรรมที่เสร็จเด็ดขาดไปแล้ว แต่ความที่พระพุทธองค์ลงมาจุติเพื่อมาประกาศธรรมอันเป็นสัมมาทิฐินั้น พระองค์มีความเมตตาต่อบรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายทุกหมู่เหล่า พระพุทธองค์ทรงเล็งเห็นว่าในบรรดาหมู่เวไนยสัตว์นั้นมีความแตกต่างกันเปรียบเสมือนดอกบัวทั้ง 4 เหล่า รอบปัญญาบารมีแต่ละคนทำมาไม่เท่ากันพระพุทธองค์จึงทรงประกาศธรรมไว้ทุกระดับแตกต่างกันไป เพราะฉะนั้นในเวลาที่มีพราหมณ์หรือบรรดานักบวชนอกศาสนาทั้งหลายมาถามปัญหาในธรรมต่อพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ก็จะตอบปัญหาข้อข้องใจในธรรมไปตามเหตุตามปัจจัย การตอบธรรมของท่านนั้นมีการกล่าวถึงธรรมในระดับต่างๆกันไปตามความเหมาะสม
    ในเส้นทางการบรรลุธรรมเป็นโสดาบันนั้นเป็นรอบบารมีของผู้ที่ได้ดวงตาเห็นธรรมชั้นต้น ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่จะละอนุสัยของตัวเองออกจากระบบเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏได้ จุดโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล เป็นจุดที่เข้าใจในเส้นทางธรรมชาติแห่งธรรมเข้าใจในเส้นทางวิถีแห่งจิตที่เป็นธรรมชาติของมัน เป็นจุดที่กระบวนการแห่งจิตเริ่มปรับไปสู่ "วิถีธรรมชาติอันดั้งเดิมของมัน" เพื่อมุ่งไปสู่เส้นทางการหลุดพ้นซึ่งเป็นวิถีแห่งธรรมอันเป็น "ธรรมชาติล้วนๆ" จุดตรงนี้เองที่พระพุทธองค์กล่าวไว้ว่าหากผู้ใดบรรลุธรรมอันเป็นโสดาบันแล้ว มันเปรียบเสมือนสายน้ำที่ไม่ไหลกลับ เป็นจุดที่จิตได้เรียนรู้เพื่อความกระจ่างชัดเจนในธรรมและแก้ไขปัญหาคือทุกข์เป็น และด้วยวิธีแก้ทุกข์หรือแก้อวิชชาความไม่รู้ทั้งปวงโดยปรับสภาพจิตไปสู่ "ความเป็นธรรมชาติ" ของมันนั้น วิธีหรือวิถีแห่งจิตที่เป็น "ธรรมชาติ"นั่นเองมันเป็นสภาพที่เหมือน "สายน้ำที่ไม่สามารถย้อนกลับไปสู่จุดเดิมที่เคยไหลผ่านมา" ได้ มันมีแต่สายน้ำหรือวิถีอันเป็นธรรมชาตินี้จะไหลไปเรื่อยจะคลายกำหนัดไปเรื่อยเพื่อไปสู่ "ปากน้ำแห่งพระนิพพาน" ในท้ายที่สุด ด้วยวิธี "ไหลหรือคลายกำหนัด" แบบวิธีธรรมชาติตามที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้นั่นเอง






    การบรรลุโสดาบันนั้น พระพุทธองค์ไม่ได้ทรงวางหลักเกณฑ์ใดๆตามความเห็นส่วนตัวของพระพุทธองค์เองแต่อย่างใดเลย "แต่โดยสภาพแห่งธรรม" หากความรู้ที่ได้เรียนรู้นั้น องค์ประกอบแห่งความรู้ทุกส่วนได้ทำลาย สักกายทิฐิ ศีลพรตปรามาส และวิจิกิจฉาลงได้ทุกส่วนหมดแล้วเช่นกันไซร้ ก็เท่ากับ "ดวงจิต" นั้นได้บรรลุเป็นอริยชนชั้นต้น คือ โสดาบันแล้ว




    สักกายทิฐิ คือ ความเห็นที่เป็นส่วนอวิชชาล้วนๆว่าเป็นตัวเป็นตนว่าเป็นเราเป็นเขาว่าเป็นอัตตาล้วนๆ เป็นส่วนของดวงจิตที่ยังถูกอวิชชาครอบงำได้ในทุกส่วน วิธีแก้ไขคือต้องเรียนรู้และยอมรับเพื่อทำความเป็นสัจธรรมความเป็นจริงให้ปรากฏว่า จริงๆแล้วไม่มีเราไม่มีเขาไม่มีอัตตามีความเป็นตัวตน แต่ความเป็นจริงมันประกอบขึ้นไปด้วยขันธ์ทั้ง 5 หรือ สิ่งห้าอย่างมารวมตัวกันคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และขันธ์ทั้ง 5 นี้ ก็ล้วนตกอยู่ในกฎธรรมชาติ คือ มันล้วนไม่เที่ยงโดยตัวมันเองโดยเนื้อหามันเอง มันคือความหมายแห่งความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มันคืออนัตตาอยู่แล้วโดยเนื้อหาโดยสภาพของมัน เมื่อสภาพแห่งธรรมปรากฏขึ้นเช่นนี้แล้วก็ถือว่าดวงจิตนั้นได้ทำลายอวิชชาแห่งสักกายทิฐิลงได้โดยสิ้นเชิง






    ศีลพรตปรามาส คือ ข้อห้าม ข้อวัตรหรือเงื่อนไขหลักเกณฑ์ต่างๆที่ดวงจิตนั้นเข้าไปยึดมั่นถือมั่นโดยคิดว่าจะต้องทำข้อวัตรข้อห้ามเงื่อนไขนั้นๆอยู่ตลอดเวลาเพื่อไปสู่หนทางแห่งพระนิพพาน แต่โดยเนื้อแท้แล้วข้อวัตร ข้อห้ามเงื่อนไขเหล่านี้ล้วนเป็นอวิชชาทั้งสิ้นเป็นหนทางที่นำไปสู่ความเป็นโมหะงมงาย ไม่ใช่เส้นทางแห่งธรรมอันเป็นธรรมชาติซึ่งเป็นหนทางอันหลุดพ้นแท้จริง เช่น ลัทธิที่ต้องถือข้อวัตรคลานสี่ขาเหมือนโคแล้วต้องกินหญ้าทุกวัน เมื่อทำเช่นนี้แล้วตนเองจักเชื่อว่าข้อวัตรเหล่านี้จะทำให้ตนพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง แต่ด้วยความเป็นจริงโดยเนื้อหาแห่งข้อวัตรนั้นมันกลับเป็นอวิชชาซึ่งเต็มไปด้วยโมหะอย่างยิ่ง แต่เมื่อนักบวชเหล่านี้ได้ฟังธรรมพระพุทธองค์แล้วเกิดความเข้าใจในธรรมทั้งปวงและปล่อยให้จิตมันดำเนินไปสู่วิถีธรรมชาติของมันอันเป็นข้อวัตรแห่งธรรมชาติ เมื่อสภาพแห่งธรรมปรากฏขึ้นเช่นนี้แล้วก็ถือว่าดวงจิตนั้นได้ทำลายอวิชชาแห่งศีลพรตปรามาสลงได้โดยสิ้นเชิง






    วิจิกิจฉา คือ ความลังเลสงสัยในธรรม เป็นความลังเลสงสัยด้วยความไม่เข้าใจว่าอะไรคือทุกข์ อะไรคือเหตุแห่งทุกข์ อะไรคือการดับทุกข์ได้ และอะไรคือหนทางแห่งความพ้นทุกข์ ความลังเลความไม่เข้าใจในธรรมทั้งปวงมันเป็นอุปสรรคต่อการจะเข้าไปแก้ไขปัญหาดวงจิตที่ถูกอวิชชาห่อหุ้มเอาไว้ เสมือนว่ามีปัญหาเกิดขึ้นอยู่แต่ไม่มีความรู้เลยว่าปัญหานั้นคืออะไร มีลักษณะอย่างไร ปัญหาเกิดขึ้นตรงไหนแล้วจะเข้าไปแก้ไขปัญหานั้นด้วยวิธีอะไร หากไม่ยอมศึกษาเรียนรู้ในธรรมว่าอะไรคืออะไรให้เกิดความเข้าใจตรงต่อสัจธรรมและสรุปเอาเองว่าธรรมแบบนี้แบบนั้นใช่แล้วตามความเข้าใจของตน การเข้าไปแก้ไขปัญหาด้วยลักษณะไม่รู้จริงก็ทำให้ปัญหาคืออวิชชานั้นยังคงอยู่ และลักษณะการเข้าไปแบบความไม่รู้จริงก็กลายเป็นอวิชชาตัวใหม่ซ้อนเข้ามาทำให้เกิดปัญหามากขึ้นตามมาอีก



    ครั้งในสมัยพุทธกาลที่พระองค์ทรงประกาศธรรมไว้ครั้งแรกในนาม "ธัมมจักรกัปปวัตตนสูตร" พระองค์ทรงตรัสถึงธรรมอันเป็นทางสายกลาง คือมรรคมีองค์ 8 ให้ละเว้นทางที่ตึงเกินไป คือ การบำเพ็ญทรมานกายต่างๆแบบทุกรกิริยา และให้ละเว้นทางที่หย่อนเกินไปคือทางที่เสพกามคุณ และพระพุทธองค์ทรงตรัสว่าอะไรคือทุกข์ อะไรคือสมุทัย(เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์) อะไรคือนิโรธ(การดับทุกข์ได้) อะไรคือมรรค(หนทางแห่งความพ้นทุกข์) ซึ่งเป็นธรรมอริยสัจทั้ง4 พระองค์ทรงชี้ให้ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 แก้ไขปัญหาในอวิชชาอย่างเป็นระบบและถูกต้องตรงต่อสัจธรรม เมื่ออัญญาโกณฑัญญะเข้าใจในธรรมที่พระองค์ตรัสแล้วว่า ความปรุงแต่งความคิดทั้งปวงคือทุกข์ ความไม่รู้คืออวิชชาพาเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ทั้ง 5 จนก่อให้เกิดตัณหาอุปาทานคือสมุทัย ความไม่เที่ยงโดยสภาพมันเองโดยตัวมันเองของขันธ์ทั้ง5 ของตัณหาอุปาทานทั้งปวงคือ นิโรธ และตรงนี้คือหนทางดับทุกข์ได้ คือมรรค ก็เท่ากับอัญญาโกณฑัญญะทำลายสักกายทิฐิ ศีลพรตปรามาส วิจิตรกิจฉาลงได้แล้ว และเมื่ออัญญาโกณฑัญญะปล่อยให้จิตดำเนินไปสู่ความดับโดยตัวมันเองซึ่งเป็นวิธีและวิถีธรรมชาติของมัน พระองค์จึงเปล่งวาจาออกมาว่า "อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอรู้แล้วหนอ" อัญญาโกณฑัญญะก็บรรลุเป็นอริยชนชั้นโสดาปัตติผล ณ เวลานั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤษภาคม 2011
  2. อินทร์ธนู

    อินทร์ธนู สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +2
    ปฏิบัติธรรมโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย
    หากไปศึกษาในพระสูตรต่างๆในพระสุตันตปิฏกไล่เรียงตั้งแต่ธรรมจักรกัปปวัฏตนสูตร อนัตลักขณะสูตร อาทิตยสูตร เป็นต้น พระพุทธองค์ได้ตรัสลักษณะธรรมที่เหมือนกันไว้คือ "ขันธ์ 5 ไม่เที่ยงโดยสภาพมันเอง ขันธ์ 5 เป็นทุกข์ และขันธ์ 5 ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนโดยสภาพมันเอง" และผู้ที่มาฟังธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสไว้แบบนี้แล้วต่างก็บรรลุธรรมในระดับชั้นแตกต่างกันไปตามความเข้าใจในธรรมของตน


    การพิจารณาธรรมว่าขันธ์ 5 ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เป็นการเรียนรู้เพื่อขจัดความไม่เข้าใจลังเลสงสัยในธรรมทั้งปวง เมื่อได้เรียนรู้ว่าอะไรคือทุกข์และจะดับทุกข์นั่นได้อย่างไร เมื่อเข้าใจว่าขันธ์ทั้ง5 เป็นทุกข์ เมื่อเข้าใจว่าขันธ์ทั้ง5 ไม่เที่ยงโดยตัวมันเองอยู่แล้วไม่ควรเข้าไปยึดมั่นถือมั่นไม่ควรเข้าเนื่องเข้าไปเนิ่นช้า ไม่ควรเข้าไปสาละวน เมื่อเข้าใจว่าขันธ์ทั้ง 5 ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอยู่แล้วโดยสภาพมันเอง ก็ถือว่าได้เข้าใจในกระบวนการแก้ไขปัญหาในกองทุกข์ได้ทั้งหมด


    เมื่อพิจารณาจนเกิดความเข้าใจชัดเจนแล้ว ก็จงปล่อยให้ขันธ์ทั้ง5 ดับไปทุกกรณี การดับของขันธ์ทั้ง 5 เป็นการดับโดยตัวมันเองสภาพมันเองอยู่แล้วโดยมีพื้นฐานแห่งความรู้ความเข้าใจในธรรมในการแก้ไขปัญหา เป็นวิธีการแบบที่ไม่มี "เรา" เข้าไปเกี่ยวข้องเข้าไปจัดการ มันเป็นวิธีการโดยตัวมันเองซึ่งเรียกว่า "วิธีแบบธรรมชาติ" เป็นธรรมชาติที่มันดับมันไม่เที่ยงโดยตัวมันเองอยู่แล้ว และเป็นธรรมชาติที่มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนโดยตัวมันเองอยู่แล้วเช่นกัน


    การปฏิบัติธรรมโดยการปล่อยให้มันเป็นไปตามกระบวนการ "ธรรมชาติแห่งขันธ์" ดังกล่าวนี้เป็นการปฏิบัติธรรมตามความหมายที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ ในพระสูตรต่างๆ และข้อยืนยันในสัจจธรรมอันเป็นธรรมชาติแห่งขันธ์ 5 ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน โดยสภาพมันเองโดยตัวมันเองนี้ พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ในนิพพานสูตรว่า "นิพพานคือธรรมชาติอันปรุงแต่งไม่ได้แล้ว" ซึ่งหมายถึงพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมไว้ว่า เส้นทางแห่งพระนิพพานเป็นเส้นทางในกระบวนการ "ธรรมชาติ" เท่านั้น เป็นธรรมชาติที่ไม่เที่ยงอยู่แล้ว โดยตัวมันเองนั้นเท่ากับว่ามันเป็นธรรมชาติที่มันไม่ปรุงแต่งอยู่แล้วโดยสภาพมันเองอีกด้วยเช่นกัน เป็นความหมายโดยนัยยะ


    -การที่คิดว่าจะต้องเข้าไปทำอะไรสักอย่างหนึ่งกับอีกอย่างหนึ่งเพื่อให้พระนิพพานเกิดเช่น การคิดว่าเราจักต้องทำสติ สมาธิ ปัญญา เพื่อให้ไปสู่เส้นทางพระนิพพาน ความคิดเช่นนี้เป็นลักษณะเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ทั้ง 5 โดยลืมนึกว่าความคิดแบบนี้ก็ล้วนไม่เที่ยงโดยตัวมันเองอยู่แล้ว ล้วนไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอยู่แล้วเช่นกัน การเข้าใจและการลงมือปฏิบัติด้วยความคิดแบบนี้อยู่ตลอดเวลาเป็นการเข้าใจผิดอย่างยิ่ง เพราะมันไม่ใช่วิธีในการแก้ไขปัญหาในกองทุกข์แบบ "ธรรมชาติ" ตามที่พระพุทธองค์ตรัส วิธีแบบธรรมชาติมันเป็นวิธีของมันอยู่แล้วมันต้องอาศัยความมีเราเข้าไปจัดการเข้าไปปฏิบัติ


    -การที่คิดว่าจะต้องเข้าไปกำหนดว่าสิ่งนี้ไม่เที่ยง เข้าไปกำหนดว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เข้าไปกำหนดว่า สิ่งนี้คือเวทนาทั้งหลาย การเข้าไปสำรวมระวังแบบกำหนดสติไว้ในอริยบทต่างๆคือ ยืน นั่ง เดิน นอน เข้าไปกำหนดว่าอะไรคืออะไรในกระบวนการแห่งขันธ์ การกำหนดเช่นนี้เป็นลักษณะจิตปรุงแต่งซ้อนเข้าไปทำให้มีเรามีอัตตาขึ้นมาเป็นการขัดขวางธรรมชาติโดยสิ้นเชิง การรู้ชัดแบบมีสัมมาสตินี้เป็นการรู้แบบ "ธรรมชาติ"ในการรู้มีสติ เป็นการรู้มีสติบนพื้นฐานที่ขันธ์ 5 ไม่เที่ยงโดยตัวมันเองอยู่แล้วไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอยู่แล้ว เป็นการรู้มีสติแบบ "ไม่มีเรา ไม่มีอัตตา" แต่การกำหนดเป้นการปรุงแต่งยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 จนทำให้เกิดตัณหาอุปทานมีเราขึ้นมาซึ่งไม่ใช่ "ธรรมชาติ" แห่งขันธ์ซึ่งมันต้องดับไปเองอยู่แล้วโดยสภาพ


    -การเข้าไปจับกุมจับฉวย สภาวะธรรมใดสภาวะธรรมหนึ่งตลอดเวลาเพื่อทำให้พระนิพพานเกิด การจับกุมจับฉวยก็เป็นการกระทำที่ขัดขวางต่อกระบวนการธรรมชาติโดยสิ้นเชิงเช่นกัน


    การปฏิบัติธรรมโดยที่มี "เรา" เข้าไปคิดจัดการจัดแจงเข้าไปกำหนดเข้าไปจับกุมจับฉวย เพื่อที่จะมี "เรา" หรือ "อัตตา" เข้าไปปฏิบัติธรรมอยู่ตลอดเวลานั้นเป็นความเข้าใจผิดในธรรมเป็นความลังเลสงสัยไม่เข้าใจในเนื้อหาแห่งธรรมอยู่ เปรียบเสมือน เอา "เรา" หรือ "อัตตา" ไปแสวงหา "นิพพานอันเป็นธรรมชาติแห่งธรรมล้วนๆ" ซึ่งเป็น "อนัตตา" เอา "อัตตา" ไปทำเพื่อให้เกิด "อนัตตา" ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ นิพพานธรรมก็จักไม่เกิดขึ้นเพราะจิตยังติดปรุงแต่งในตัววิธีปฏิบัติธรรมนั่นเอง


    แต่การที่ปฏิบัติธรรมโดยอาศัยความเข้าใจในธรรมแล้วปล่อยให้ขันธ์ 5 ดำเนินไปสู่ "วิธีธรรมชาติ" ที่มันดับโดยสภาพมันเองที่มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนโดยสภาพมันเองอยู่แล้ว เป็นการ "ปฏิบัติธรรมโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย" เป็นการปฏิบัติธรรมโดยที่ไม่มีอัตตาไม่มีเราเข้าไปเกี่ยวข้อง เป็นการปฏิบัติธรรมตรงต่อสัจธรรมตรงต่อที่พระพุทธองค์ประสงค์จะให้เรียนรู้และเข้าใจแบบนี้ เป็นการปฏิบัติธรรมแบบ "ธรรมชาติแห่งความไม่มีเรา ไม่มีอัตตาเข้าไปปฏิบัติ" "เป็นการปฏิบัติธรรมโดยที่ไม่ต้องใช้จิตปรุงแต่งให้มีเราเข้าไปทำอะไรอีกเลย"
     
  3. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    ช่วงนี้ พระโสดาบัน นี่กล่าวถึงบ่อยนะครับ....
     
  4. chunhapong

    chunhapong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +731
    ปฏิบัติธรรมโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย จริงหรือ?

    เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่้ก็รู้ภาษาธรรมแล้วเหรอ รู้จักทุกข์ของขันธ์ 5 และรู้จักละวางทุกข์ของขันธ์ 5 ตามความเป็นจริงแล้วเหรอ

    มันไม่ต้องศึกษาหรือเรียนให้รู้จักอริยสัจ 4
    คือรู้จักทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุำกข์ และหนทางไปสู่ความดับทุกข์เหรอ

    กล่าวแต่ผล ไม่คำนึงถึงมรรค เลย.....

    มันวางได้เองทั้งหมด..เข้าใจพระอนิจจัง พระทุกขัง พระอนัตตา...ปล่อยวางได้เองเลยเหรอ..ไม่ต้องทำอะไร

    ไม่รู้จักตัวเราอย่างแ้ท้จริง...แล้วจะละตัวเราได้หรือ
    ไม่รู้จักทุำกข์....แล้วจะละทุกข์ได้หรือ
    ไม่รู้จักสมมุติ....แล้วจะละสมมุติได้หรือ

    บารมี 10 .... อิทธิบาท 4

    คนหิวข้าวแต่ไม่ไปหุงหาอาหารรับประทานเข้าไป..มันจะทำให้อิ่มเหรอ

    รู้ว่ามันทุกข์..แต่ไม่หาทางหลีกหนีมันจะพ้นทุกข์เหรอ

    คนทั่้วๆ ไปเขาก็รู้จักนะ เกิด แก่ เจ็บ ตาย พลัดพรากจากของรักของชอบใจ...เป็นทุกข์

    พ่อแม่ใครตาย ญาติใครตาย...เห็นร้องให้กะจองอแงกันทัั้งนั้น...ไม่เห็นมีใครรู้เท่าทันขันธ์ 5 ตามความเป็นจริงกันเลย...นี่นอกตัวนะ..ถ้าตัวเจ้าของเอง เจ็บป่วยเป็นโรคร้าย..จะเป็น จะตาย โอย....เป็นทุกข์ เป็นร้อน กันไปหมดทั้งบ้าน

    ต้องทำนั่นแหละ...ธรรม ก็การพิจารณาไป..ใคร่ครวญไป ให้รู้ตัวตนเองนั่นแหละ....เป็นสมาธิ..เป็นสติ

    การระ่ลึกรู้...เจริญสตินั่นแหละ...นั่นทำแล้วนะ..แต่ว่าไม่รู้จักว่าเป็นทำ...ธรรม...ธรรมชาติตัวเดียวกัน




     
  5. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    สิ่งที่คุณพยายามอธิบายก็เป็นขบวนการปฎิบัติอย่างหนึ่ง(คำว่าไม่ต้องทำอะไรเลย)ก็ยังเป็นการปฎิบัติอยู่ อยากถามว่าถ้าไม่ทำอะไรเลยแต่ยังเสพกาม กินเหล้า ฆ่าสัตว์ พรากลูกเมียเขา โกหกหน้าตาเฉย ยังเรียกว่าการไม่ทำอะไรเลยหรือไม่วานบอก
     
  6. นิพพานายะ

    นิพพานายะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2011
    โพสต์:
    56
    ค่าพลัง:
    +176
    แสดงว่า ตามความเห็นคุณ การเป็นพระอริยะไม่ต้องปฏิบัติอะไรเลยหรือ
    แค่นั่งๆนอนๆ หายใจไปวันๆ ...คุณคิดว่า การทำอย่างนี้เป็นสัมมมาทิฐฐิหรือ
    ...ระวังจะเป็น สัทธรรมปฏิรูป ที่หลวงปู่มั่น เคยบอกไว้
     
  7. อโศ

    อโศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,689
    ค่าพลัง:
    +5,830
    "ปฏิบัติธรรมโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย"

    ไม่ต้องรู้อริยสัจจ์ ๔
    ไม่ต้องรู้ทุกข์ เหตุแห่งการดับทุกข์
    ไม่ต้องปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘
    ไม่ต้องปฏิบัติตามโพธิปักขยธรรม ๓๘



    ไม่ต้องทำอะไรเลย......

    แค่นั่งๆนอนๆ หายใจทิ้งไปวันๆ ...



    คือ ปล่อยให้จิตที่ยังโง่ที่มีอวิชชา มันครองเต็มหัวใจ
    เดี๋ยวกิเลสมันก็ดับไปเอง เพราะไม่มีเราเข้าไปปรุงแต่ง



    เป็นแค่คำพูดสำนวนโวหาร
    เป็นคำพูดที่เท่ แต่แท้จริงกลวงโบ๋

    แค่จินตนาการ ใช้การอะไรไม่ได้ ไร้สาระ


     
  8. ํํํััYosei

    ํํํััYosei สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    70
    ค่าพลัง:
    +0
    "เป็นแค่คำพูดสำนวนโวหาร
    เป็นคำพูดที่เท่ แต่แท้จริงกลวงโบ๋
    แค่จินตนาการ ใช้การอะไรไม่ได้ ไร้สาระ"





    อันที่จริงจะกล่าวเช่นนั้นก็ถูกต้องแล้วว่า " แท้จริงแล้วกลวงโบ๋ "

    เพราะมันไม่มีอะไรที่เป็นจริง แต่ " คน " ต่างหากเล่า
    ที่ไปบอกว่า มันกลวงโบ๋ แล้วต่างพยายามที่จะหา(จินตนาการ)อะไรๆมาใส่ให้มันมี
    แล้วก็เที่ยวบอกคนต่อคนว่าอย่างนี่อย่างนั้น




    สิ่งใดที่ว่า ไร้สาระ สิ่งนั้นคือ สาระ ที่แท้จริง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 พฤษภาคม 2011
  9. chura

    chura เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    688
    ค่าพลัง:
    +1,971
    " ปฎิบัิติธรรมโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย"

    ผมว่าเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนน๊ะ เพียงการพิจารณาชันธ์ 5 ก็ยังไม่เพียงพอหรอก
    เพราะอยู่แค่ขั้น คิด คิด แล้วก็คิด เพราะจิตยังไม่ได้เห็นของจริง การที่จะเห็นของจริงได้ก็
    ต้อง ฝึกสติปัฎฐานสี่ ซึ่งเป็นทางสายเอกคือการ "รู้" ตามความเป็นจริงของกายของใจ
    ตะหากล๊ะ รู้จนเห็นไตรลักษณ์ของกายของใจหรือ ขันธ์5 ว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
    ถ้าเห็นความจริงตัวนี้ก็เกิดปัญญา...แต่ทั้งหมดนี้ ก็ต้องมี ศิล สมาธิ ภาวนา คอยกำกับ
    ควบคู่กันไปทั้งหมด จิตถึงจะเกิดกำลังเห็นตามจริง จนถอดถอนความยึดมั่นในกายในใจ
    นี้ หรือล๊ะสักกายทิฐิลงได้ ^^
     
  10. อินทร์ธนู

    อินทร์ธนู สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +2
    ขออนุญาติ ตอบ ทุกข้อความเลยนะคราาาาาาาบ

    ธรรมที่ทุกท่านได้อ่านเป็นการปฏิบัติธรรมโดยอาศัย จิต เพียงหนึ่งเดียวเท่านั่นครับไม่ใช่ใช้ความมีตัวตนมีเราเข้าไปปฏิบัติ

    เมื่อเข้าใจอย่างถ้วนทั่วในธรรมต่างๆแล้ว ก็ปล่อยว่างโดยไม่ให้จิตไปยึดเกาะยึดถือยึดมั่นในสิ่งที่เป็น สังกตธาตุ
    เพราะเป็นการปรุงแต่งทั้งสิ้น
    นิพพานเป็น อสังกตธาตุ เป็นธาตุไม่มีแม้แต่การเกิดขึ้นและตั้งอยู่แล้วดับไป เป็นการหยุดได้โดยสมบูรณ์โดยตัวมันเองไม่ได้อาศัยอัตตาใดๆมาทำให้มันปรากฏขึ้นมาเพราะมันปรากฏเองอยู่นานแล้วแต่ด้วยอวิชชาตัณหาอุปาทานต่างๆพาเข้าไปหลงยึดถือยึดมั่นในสิ่งต่างๆที่ยังคงเป็นอนัตตาจึงไม่ใช่เนื้อหาเดียวกับธรรมชาติแห่งว่างเปล่าจากความหมายความมีตัวตนหรือศูนยตานั่นเอง
     
  11. Seventh Heaven

    Seventh Heaven สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2011
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +0

    .......................................................................












    อืมมมมมมมมมมม


    เจ๋ง........ว่า




    เอออออออออออออออออออ




    เองเก่ง




    อ่าาาาาาาาาาาาาา



    สุดโก้ยยย



    5555555555
    555555555555
     
  12. GhostHead

    GhostHead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,010
    ค่าพลัง:
    +1,878
    "ปฏิบัติธรรมโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย"

    ผมว่าฟังดูแล้วงงๆ และยังเป็นคำที่แย้งตัวเอง นะ

    ดูสิมีคำว่า "ปฏิบัติ" ซึ่งแย้งกับ "ไม่ต้องทำอะไรเลย" มันคนละเรื่องกันเลย

    ดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านบำเพ็ญ บารมี ตั้งกี่อสงไขย กว่าจะเป็นชาติสุดท้าย
    แล้วกว่าจะตรัสรู้ อีก

    และพระอาจารย์ยังสอนผมอยู่เสมอ ว่า "นิพพานเป็นภาษาปฏิบัติ"
    แสดงว่า ต้องใช้การปฏิบัติเท่านั้น จึงจะเข้าถึงพระนิพพานได้

    ต้องขอโทษด้วยนะคุณจขกท. ผมไม่เชื่อคุณครับ
    ผมเชื่อพระพุทธเจ้า และพระอาจารย์ดีกว่า

    เจริญในธรรมครับ
     
  13. Seventh Heaven

    Seventh Heaven สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2011
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +0




    ......................................................................

    ท่านธนูพระอินทร์ครับ


    หากท่านจะชี้แนะพวกกระบือที่ชอบกินหญ้า


    [​IMG]




    [​IMG]




    ท่านจะต้องใจเย็นๆน่ะครับ
    เพราะ กระบือ พวกนี้

    รู้แจ้งแทงตลอด ช้ามากๆๆๆๆๆๆๆ



    ท่านจะต้องใช้
    ไม้เรียวแห่งจิตวิญญาณความเป็นพุทธะ
    ตีกระหน่ำกระบือพวกนี้บ่อยๆหน่อย



    เผื่อ
    เหล่ากระบือทั้งหลาย
    อาจจะได้ตระหนักชัดถึงภาวะธรรมที่แท้จริง
    ในกาลข้างหน้า




    55555555555555555



    สุดโก๊ยยยยยยยยยยยยยยย
    ครับ
    ท่านธนูพระอินทร์







    สาธุ
    ดีแล้ว

     
  14. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ท่านเน้นไปที่เรื่องการบรรลุธรรมโดยไม่ต้องทำอะไร แต่ผมว่ายังไงท่านก็ต้องทำอะไรสักอย่าง มันเป็นทางเป็นมรรค ซึ่งยังไงท่านก็ต้องอยู่ในมรรค พิจารณาในความเป็นธาตุ ในความเป็นอริสัจ4 ในความเป็นปฎิสมุปบาท ถ้านอกเหนือจากมรรคคืออะไร? จะบรรลุ ฉับพลัน ไม่ฉับพลัน ยังไงก็ต้องปรากฎญานความเข้าใจในมรรคอยู่ดี ไม่เกี่ยวกับเวลา เพียงแต่ว่าการบรรลุธรรมนั้นก็รู้แค่เพียงตัวเอง จะไปบอกคนอื่นเขาก็คงไม่เชื่อ สุญตาก็ยังคงเป็นบัญญัติอยู่ดี ของจริงมันอธิบายไม่ได้หรอก แล้วควายมันก็น่ารักดี ทำ ไม ล่ะ....?
     
  15. ํํํััYosei

    ํํํััYosei สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    70
    ค่าพลัง:
    +0



    ถ้าสักแต่ว่าอ่านใครๆก็อ่านออก แต่ถ้าอ่านแล้วพยายาม(พิจารณา)แปลคงไม่ตอบออกมาเช่นนี้หรอก............
    จงมีความลังเลสงสัยในธรรม(วิจิกิจฉา)
    ให้มากกว่านี้แล้วท่านจะซึ้งในความหมายที่แท้จริง ถ้าอะไรๆมันง่ายอย่างคำว่าที่อ่านว่า ง่าย คงมีแต่พระอรหันต์เดินไหล่ชนกันแล้วล่ะค่ะ
    (kiss)(kiss)(kiss)
     
  16. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ถ้าท่านเป็นคนมี มิจฉาทิฎฐิ ท่านจะรู้มั้ย แล้วคนมีมิจฉาทิฎฐิจะรู้ตัวเองมั้ย จะบรรลุธรรมได้หรือ ไม่? สัมมาทิฎฐิอยู่ในมรรคไม่ใช่หรือ? ตอบหน่อย....
     
  17. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    มันเป็นบริบทของการ สนทนา ท่านonly mymine ต้องยอมรับจุดนี้เช่นกัน มันก็ ได้แค่นี้แหละมันก็เป็นสิ่งปรุงแต่งทั้งนั้น ถ้าอย่างงั้นจะมีการสนทนาในบอร์ดทำไม แต่ผมเชื่อว่าทุกคนก็มีญานหยั่งรู้เรื่องนี้กันทุกคน ไม่จำเป็นต้องอธิบาย
     
  18. ํํํััYosei

    ํํํััYosei สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    70
    ค่าพลัง:
    +0






    ว่าไปก็ถูกอีกนั่นแหล่ะ !!

    ถ้าจะว่ากันเรื่องลักษณะของผู้บรรลุ แต่ถ้ากันด้วยเรื่องการสอนให้หุบปากเงียบแล้วใยพระพุทธองค์ถึงต้องประกาศหล่ะ ก็เพราะว่า บัวมันมีสี่เหล่า ไงล่ะ.........



    ...........:VO:VO
     
  19. ํํํััYosei

    ํํํััYosei สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    70
    ค่าพลัง:
    +0





    ผู้ที่จะมีใจที่จะถ่ายทอดความรู้ที่ตนมีให้ผู้อื่น ผู้นั้นต้องคำนึงถึงการยอมรับฟังทุกเหตุผลที่บุคคลเหล่านั้นพยายามสรรหามาแย้ง หรือขัดแย้งในความเข้าใจในเรื่องต่างๆ ดั่งนั้นการที่จะโพสอะไรลงในแต่ละครั้ง ย่อมต้องคำนึงถึงความสามารถในการรับรู้ของเขาเหล่านั้นอยู่แล้ว แต่เรื่องของเรื่องมันอยู่ที่ว่า เข้ามาแล้ว กั๊ก เข้ามาลองภูมิ เข้ามาไม้ไหนหว่า อันนี้เรียกว่าอะไร.....???
     
  20. นิพพานายะ

    นิพพานายะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2011
    โพสต์:
    56
    ค่าพลัง:
    +176
    อ่านแล้วปวดตับ...ทางใครทางมันก็แล้วกัน

    ชอบทางใหน ก็ไปทางนั้น..
     

แชร์หน้านี้

Loading...