การดูจิตที่ติดวิญญาณ ต่างจากการดูจิตที่ไม่ติดวิญญาณ

เป็นสิทธิส่วนบุคคลอยู่แล้วครับ ว่าจะอ่านหรือไม่อ่าน
ผมเองก็ไม่ได้ร้องขอให้ช่วยกันอ่าน ผมมีหน้าที่ชี้ให้เห็นเท่านั้น
โดยนำเอาพุทธวจนะประกอบด้วย

ส่วนใครจะลบหลู่ยังไง อันนั้นเป็นเรื่องของตน
กรรมที่ลบหลู่ใครทำคนนั้นก็ต้องรับเองไม่ช้าก็เร็วครับ

ส่วนใครอ่านแล้วจะเชื่อหรือไม่เชื่อขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของตนเองครับ

;aa24 เวรกรรมในการลบหลู่พุทธพจน์นั้น มีจริงๆครับ

 

การดูจิตที่ติดวิญญาณ ต่างจากการดูจิตที่ไม่ติดวิญญาณ เป็นเรื่องที่ดีที่ท่านธรรมภูต ยกมาอธิบาย และเป็นสิ่งที่หลายๆท่านกำลังหลงอยู่ ในขณะนี้
​

<O

ขออนุญาตอธิบายเพิ่ม<O</O
​

<O</O

สติจะสมบูรณ์ได้ต่อเมื่อ จิตไม่ปรุงแต่งอารมณ์ใดๆแล้ว<O</O
​

<O</O

กระทู้เก่าที่เคยอธิบาย "แล้วสติ เกิดได้อย่างไร คำตอบ เมื่อหมดเหตุ จึงเกิดสติ เมื่อมีเหตุ สติจึงดับ "<O</O
​

<O</O

ธรรมะที่ถูกต้อง ไม่ว่าจะยกมาเมื่อไหร่ก็เป็นความจริงตลอดกาล ความจริงนี้ล่ะที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย เพียงแต่ว่าจะมีซักกี่ท่านที่จะเข้าถึง ความจริงอันสมบูรณ์นี้<O</O
<O</O

ท่านธรรมภูต อธิบายดีแล้วเกรงท่านจะเสียกำลังใจ ในเว็บนี้ท่านที่อธิบายธรรมะได้เข้าทางขององค์สมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าก็มีท่านธรรมภูต ท่านธรรมะสวนัง ท่านมโน และท่าน visutto (วิสุโธ) อาจจะมีบ้างบางกระทู้ที่อธิบายยังไม่สมบูรณ์เต็ม 100 % แต่ก็ถือว่ามาถูกทาง
<O</O
​

<O
ส่วนท่านอื่นๆเท่าที่ดูก็มีทั้งถูกและผิด ผสมกันในความคิดความเข้าใจ สุดท้ายทุกท่านก็มีความหวังดีแก่พระศาสนา ความเข้าใจอาจไม่ตรงกันแต่ควรให้ความเคารพซึ่งกันและกัน <O</O
<O</O

ธรรมะองค์สมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธะเจ้า มิใช่พวกมากลากไป <O</O
​

<O</O

ธรรมะองค์สมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธะเจ้า ต้องปฏิบัติเท่านั้นจึงจะเข้าถึง ไม่สามารถเข้าใจและเข้าถึงได้โดยความคิดใดๆเลย ต่อเมื่อหยุดคิดแล้วเท่านั้น จึงจะมีโอกาสเข้าถึง
<O</O
​

<O</O

ขอบคุณครับ
<O</O
​

 

อนุโมทนา สาธุครับที่เป็นกำลังใจ ขอให้สบายใจได้ครับ
สิ่งที่ผมนำมาลงนั้น ผมได้เทียบเคียงแล้วลงกับพระสูตรและพระวินัย

ผู้ที่มีจิตคิดร้ายที่จะทำลายพระพุทธวจนะนั้น ผลอันนั้นเป็นยังไง ก็รับกันไปเอาเองครับ
ของแบบนี้ใครทำใครได้ เรื่องปฏิบัติก็เช่นกัน ยังไม่เคยลงมือปฏิบัติจนเข้าถึงเลย
ก็รีบปฏิเสธว่า ไม่มีเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่เคยสัมผัสได้จริง
เชื่อแต่ความคิดที่ตกผลึกและความเชื่อความศรัทธาเท่านั้น

ท่านทดสอบ๑ครับ ถ้าเป็นไปได้ น่าจะพบกันที่งานมีตติ้งนะครับ
ผมเองยังยากพบอีกหลายท่าน เช่นท่านขันธ์ ท่านเกสท์ ท่านนิวรณ์
ท่านวิสุทโธ ท่านมโน ท่านศรี ท่านจินที่รัก ท่านอัลฯ ท่านเก่ง ท่านทีบูน ท่านบุญพิชิตครับฯลฯ

;aa24

 

ดูกรภิกษุ ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับในโลกนี้ เป็นผู้ไม่ได้เห็นพระอริยะ

�����ûԮ�������� �� - ����ص�ѹ��Ԯ�������� �

[๑๒๕] ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็สักกายทิฐิ จะมีได้อย่างไร ฯ

พ. ดูกรภิกษุ ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับในโลกนี้
เป็นผู้ไม่ได้เห็นพระอริยะ ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยะ
ไม่ได้ฝึกในธรรมของพระอริยะ ไม่ได้เห็นสัตบุรุษไม่ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ
ไม่ได้ฝึกในธรรมของสัตบุรุษ

ย่อมเล็งเห็นรูปโดยความเป็นอัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาว่ามีรูปบ้าง
เล็งเห็นรูปในอัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาในรูปบ้าง

ย่อมเล็งเห็นเวทนาโดยความเป็นอัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาว่ามีเวทนาบ้าง
ล็งเห็นเวทนาในอัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาในเวทนาบ้าง

ย่อมเล็งเห็นสัญญาโดยความเป็นอัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาว่ามีสัญญาบ้าง
เล็งเห็นสัญญาในอัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาในสัญญาบ้าง

ย่อมเล็งเห็นสังขารโดยความเป็นอัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาว่ามีสังขารบ้าง
เล็งเห็นสังขารในอัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาในสังขารบ้าง

ย่อมเล็งเห็นวิญญาณโดยความเป็นอัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาว่ามีวิญญาณบ้าง เล็ง
เห็นวิญญาณในอัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาในวิญญาณบ้าง
ดูกรภิกษุ อย่างนี้แลสักกายทิฐิจึงมีได้ ฯ


+++++++++++

;aa24 เชิญครับผู้ที่คิดร้าย ที่จ้องทำลายพุทธวจนะ เชิญไม่เห็นด้วยได้เลยครับ

 

ดูกรภิกษุ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้วในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ได้เห็นพระอริยะ

 

เห็นด้วยกับพุทธพจ ไม่เห็นด้วยกับธรรมภูติที่แปล ผิด ทาง

 

พุทธวจนะก็คือพุทธวจนะ ผมแต่งเองและเขียนเพิ่มเติมเองไม่ได้หรอกครับ
อุตส่าห์มีทำลิ้งให้ยังไม่รู้จักเอาไปเทียบดูว่า ผมเพิ่มเติมเองหรือเปล่า
ถ้าผมแต่งเองได้ก็ดีสิ จะได้ว่าให้บรรเจิดไปเลยครับ
ที่ผมเอามาลงนั้น ท่านอรรถกถาจารย์เป็นผู้รจนาทั้งนั้น

;aa24

 

ผมกด "ไม่เห็นด้วย" ในโพสแรกที่ 1 แล้วก็ยังไม่ได้กล่าวอะไรเลย ท่านธรรมภูตกล่าวเองตลอด รวมทั้งมีแต่ข้อความเสียดสีหลายข้อความ รวมทั้งเก็บไปเสียดสีในกระทู้อื่นด้วย ทั้งยังมีการยกคำกล่าวของศาสดามาอีก ยกมาเพื่อเป็นโล่กำบัง สนับสนุนความคิดตน โดยตั้งใจยกมาท้าทายให้ผมกดไม่เห็นด้วยอีก

เอาล่ะผมนี้กลายเป็นคนหยาบช้าไปแล้ว แต่คนหยาบช้าคนนี้จะขอกล่าว เป็นครั้งสุดท้ายที่จะตักเตือนไว้

"รู้สูตร เข้าใจสูตรมากมาย ก็เท่านั้น ลองนำธรรมมาสถิตย์ที่ใจดูบ้าง เอาให้อยู่ในธรรม นั่นก็คือกายใจของท่านเอง"

ธรรมที่ท่านกล่าว ยังเป็นธรรมที่เต็มไปด้วยความโสโครก ยังเป็นธรรมที่ปฎิรูปทั้งสิ้น

ผมขอยุติแต่เพียงเท่านี้

ปล. เป็นไปได้ไม่ต้องตอบ คุยกับท่านผมรู้สึกเหมือนเห็นท่านตีโต้ปิงปอง โต้ไปโต้มา เอาแต่ผลักลูก ผลักใจจิต ให้ออกพ้นตัว ^-^

 

เป็นอย่างที่เค้าว่านั่นล่ะ เวลาดูก้อย่าไปนั่งพิจารนาธรรมว่าผิดไหมให้พิจารนาตน ว่าเข้าใจถูกไหม

แต่จะว่าไปการเห็นในขั้นนี้มันเห็นตามกำลังของปัญญา คุนอาจยังไม่สามารถเห็นได้ในตอนนี้ แต่ถือว่าน่าเสียดายมากที่ได้อยู่ไกล้ชิดขนาดนี้ได้อ่านได้ฟังได้ไกล้ชิดอย่างนี้แต่ไม่อาจพัฒนาให้เข้าถึงได้

อย่าโกรทเลยนะ เวลาอ่าน แล้วท่าหลอกตัวเองว่าไม่โกรทได้ก้ยังถือว่าดี เพราะจะบอกไห้ไม่โกรทโดยแท้จริงนั้นคงยังไม่ถึงเวลา

ที่บอกอย่าพึ่งเอาอารมมาใส่เพราะอยากให้พิจารนาซักนิด ที่เค้าติไม่ใช่เพราะอยากจะตำหนิให้เสียหายหรือทำไปด้วยความสนุกแต่อยากไห้คุนได้เห็นสิ่งที่ถูก

ยอมรับเถอะถึงจะรู้มากแค่ไหนก้มีหลงได้ หลงกับรู้มันต่างนิดเดียวมองนิดเดียวมันเห็นแล้ว อย่ายึดเอาไว้เลย

ด้วยความปราถนาดี แต่คุนจะคิดว่าคุนเป็นอริยะแล้วผมมาสอน คิดว่าผมไม่เข้าใจในความเป็นปัจจัตตังของคุนก้ขอให้มองความปราถนาดีแทนแล้วกันและอย่างน้อยก้ขอให้ฉุดคิดอย่างไม่ต้องใส่ใจซักนิดว่า

หลุดพ้นแล้วหรือยัง หากยัง ธรรมที่ ยังต้องศึกษายังมีนำสิ่งนั้นมาตีแผ่นำมาแลกเปลี่ยนจะดีกว่านำความเป็น อรหันมาตีแผ่

 

ขอญาณจงบังเกิดแก่ท่าน เทอญ

 

เด็กเอ๊ย พวกเธอหลอกใครๆก็หลอกได้ แต่หลอกตัวเองไม่ได้หรอก
เธอมุสาเองนะว่า ไม่เห็นด้วยกับความเห็นที่๑ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร

ที่เหน็บไปก็เพื่อหยิกแกมหยอกให้รู้สึกตัว แต่กลับไม่สำนึกหน้ามืดเข้าไปใหญ่
กดไม่เห็นด้วยไปทั้งสิ้น๒๐ครั้ง มุสาชัดๆว่าไม่เห็นด้วยกับคคห.ที่๑เท่านั้น แค่ธรรมะพื้นฐานยังไม่มีเลย

จะเอาอะไรกับธรรมที่ลึกซึ่งหละ เพียงง่ายๆเท่านี้ยังระงับไม่เป็นเลย น่าสงสารแท้!!!!

ใครกันแน่จ๊ะ ที่แสดงธรรมที่ยังเป็นธรรมที่เต็มไปด้วยความโสโครก ยังเป็นธรรมที่ปฎิรูปทั้งสิ้น

พวกเธอทุกวันนี้ เธอเชื่อแต่ความรู้ที่ได้มาจากอัตตโนมัติอาจารย์ แล้วนำมาคิดเองจนตกผลึก
โดยไม่น้อมนำมาเทียบเคียงกับพระสูตรและพระวินัย
ที่จะเป็นแทนองค์พระศาสดาของเธอ เมื่อพระบรมครูล่วงลับไปแล้ว

แม้แต่ตัวท่านอาจารย์วาทเองยังรจนาไว้เลยว่าอรรถธรรมตรงไหนที่ขัดแย้งกันกับพระสุตะ(พระสุตันตปิฎก)
ต้องให้เชื่อพระสุตะไว้ก่อน ใครไม่เชือ ถือว่าไม่เคารพต่อพระพุทธองค์
ขนาดเห็นอยู่อย่างนี้แล้วยังโกหกตัวเองอีกเหรอ เพียงแค่เห็นแก่อคติส่วนตัวเท่านั้น
จะยังประโยชน์อะไรต่อพุทธศาสนา เมื่อคนอ่านเห็นว่าขนาดพุทธวจนะยังกล้าไม่เห็นด้วย


เราเองไม่จำเป็นต้องเอาพุทธวจนะมาบังหน้าหรอก จะบังไปเพื่ออะไรกัน???
ที่ต้องเอาพุทธวจนะมาตอบแทนคำพูดเราเองนั้น
เพราะคุยกับคนที่ขาดเหตุผลและชอบตีความกันเอาเองไม่รู้เรื่อง

พวกคนที่เก้อ-ยากนั้น ฟังใครที่ไหนกัน เชื่อแต่ความคิดตัวเองเป็นใหญ่เท่านั้น
จึงต้องเอาพุทธวจนะที่ชาวพุทธ ให้ความเคารพยกย่องมาตอบแทน
แต่ก็ไม่วายที่พุทธวจนะจะต้องหมองไป เพราะโดนคนถ่..ลบหลู่ดูแคลนจนได้
เป็นที่น่าอับอายเป็นอย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่ต้องการอ่านและหาความรู้พระพุทธวจนะ
เท่ากับลดความน่าเชื่อในพุทธวจนะที่ทรงกล่าวไว้ดีแล้ว เพียงเพื่อต้องการเอาชนะเท่านั้น

เป็นความเขลาเบาปัญญาที่ไม่ควรให้อภัยเลย ถ้าทำเพียงครั้งเดียวยังอาจพอจะอภัยได้
นี่ทำแล้วทำอีกเพียงเพื่อความสะใจของตัวเองเท่านั้น ไม่มีความละอายใจต่อบาปเลย


การเป็นคนจริงนั้นต้องกล้าทำกล้ารับ เกิดกลัวบาปกรรมขึ้นมาหละสิ
พูดมาได้ "ผลักใจจิต ให้ออกพ้นตัว" ทีนี้ไม่กลัวตัวกลัวตนแล้วหรือ???
ถึงจะไม่เอาเข้ามาเป็นตัวเป็นตน กลัวยังไงก็หนีไม่พ้นหรอก
ดีชั่วใครทำใครได้ จะอ้างความดีความชั่วของคนอื่นมาเป็นของตนก็ไม่ได้
สุดท้ายความดีก็ของตน ความชั่วก็ของตน


อย่าเพิ่งรีบหยุด ยังมีพระพุทธวจนะที่รจนาโดยท่านอรรถกถาจารย์อีกมากมาย
ที่รอให้ลบหลู่ดูแคลนว่าเป็นธรรมที่โสโครก เป็นธรรมที่หยาบช้า

หัดตักเตือนตัวเองเสียบ้างนะ ก่อนที่จะไปตักเตือนพุทธวจนะ
ที่ทำลิ้งค์ให้หนะ หัดกดเข้าไปอ่านเสียบ้างว่ามีเพิ่มเติมเสริมแต่งตรงไหน
อย่าโวยวายโดยไม่มีหลักฐานมายืนยัน มีแต่คนพาลเท่านั้นที่ชอบทำแบบนี้

;aa24 พวกที่ส่อไปทางทุจริตต่อพระพุทธวจนะ ระวังให้ดี

 

มีพระพุทธวจนะพระสูตรไหน ตรัสไว้ว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้แล คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ (ทางสายกลาง) สำหรับ สมถยานิก

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้แล คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ (ทางสายกลาง) สำหรับ วิปัสสนายานิก

ท่านใดหาพบ กรุณา โพสต์ด้วยครับ
ขอบคุณครับ จากปราชญ์นิรนาม

;aa24

 

[๓๙๓] เมื่อภิกษุนั้นเจริญโพชฌงค์ ๗ ประการนี้
จิตย่อมหลุดพ้นแม้จากกามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ

เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว
ย่อมรู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี

ดูกรภิกษุ ที่เรียกว่าโพชฌงค์ เพราะเป็นไปเพื่อตรัสรู้ ฉะนี้แล.

+++++++++

สรุปว่าจิตย่อมหลุดพ้นแม้จากกามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ หาใช่วิญญาณ

;aa24

 

อย่าไปใส่ใจอะไรมากเลยครับ ผ่านไปแล้วกลายเป็นอดีตครับ อดีตกับปัจจุบันต่างกันแค่บางทีใจเราก็มองไม่เห็นครับ
ขอญาณจงบังเกิดแก่ท่านครับ

 

คุณทดสอบ 1 คุณเข้าใจผิดแล้วล่ะครับ

สติที่สมบูรณ์ ทำไมจะมีจิตปรุงแต่งไม่ได้ล่ะครับ
อย่างนี้พระอรหันต์ ท่านมีสติสมบูรณ์ท่านก็มีจิตปรุงแต่งไม่ได้สิครับ

อย่างนี้เป็นความเข้าใจที่ผิด

การปรุงแต่งเป็นธรรมชาติของจิต
แม้แต่จิตพระอรหันต์ท่านก็ปรุงแต่ง
แต่ไม่ได้ปรุงแต่งด้วยอำนาจของอวิชชา กิเลส

อย่างนี้ไม่สมชื่อสมนาม
ที่อ้างต้นว่าเชี่ยวชาญเรื่องสติเลยนะครับ

 

ก้คิดไปคนเดียวต่อไปละกันครับ ธรรมภูติ ก้แค่หวังดี

 

ท่านครับ กำลังสับสนอะไรอยู่หรือเปล่าครับ
กรรมนั้นเกิดจากเจตนากระทำ กรรมดี หรือกรรมชั่ว
พุทธวจนะนั้นเราท่านมีไว้ เพื่อเทียบเคียงกับผลปฏิบัติที่ปฏิบัติมา

เมื่อเทียบเคียงแล้วลงกันได้ อันนั้นหนะใช่ คิดขึ้นเองไม่ได้
ใครที่เคยสัมผัสแล้วซึ่ง "ตทังควิมุตติ" ย่อมบอกได้ว่าอันไหนใช่ อันไหนไม่ใช่

โดยเฉพาะพระพุทธพจน์นั้น ที่เราศึกษาไว้เพื่อขัดเกลาขจัดกิเลสออกไปเท่านั้น
ถึงแม้จะอาศัยกิเลสเข้าอ้าง ก็อ้างได้ไม่ตรงตามความเป็นจริงหรอกครับ

เมื่อพุทธพจน์พระทรงตรัสไว้ชัดเจนดีแล้ว
ไม่จำเป็นต้องเพิ่มเสริมแต่งหรือตีความเอาเองเข้าไป
เพียงแต่เคาะวรรคตอน เพื่อง่ายต่อการอ่านเท่านั้น

ถ้าพุทธวจนะยังไม่สามารถนำมาอ้างเพื่อความถูกต้องได้แล้ว
ในโลกนี้ไม่ต้องไปหาอะไรมาอ้างอีกแล้ว แม้แต่สิ่งสูงสุดยังอ้างไม่ได้
จะเรียนและศึกษาพระไตรปิฎกเพื่ออะไร หาประโยชน์อะไรมิได้

ในชั้นการศึกษาพระไตรปิฎกนั้นยังแบ่งออกเป็น
ชั้นพุทธวจนะ
ชั้นอาจารวาท
ชั้นอัตตโนมัติอาจารย์

ท่านก็เลือกเอาเองสิครับว่าเลือกเชื่อท่านใดดี
เป็นสิทธิส่วนบุคคลก็จริงอยู่

แต่ท่านอาจารวาท ก็รจนาป้องกันพวกคนเถื่อนไว้แล้วว่า
เมื่อเทียบเคียงแล้วไม่ลงกัน ก็ให้เชื่อพระสุตะไว้ก่อน
ถึงกับกล่าวว่า ถ้าไม่เชื่อพระสุตะ ถือว่าไม่เคารพในพระพุทธเจ้า

;aa24

 

ท่านครับ นี่ขนาดผมเอาพระพุทธวจนะมาอ้างนะครับ
ยังโดนพวกคนดิบเหล่านั้นกระหน่ำไม่เห็นด้วยเสียเละเลย

ถ้าผมเอาสิ่งที่ปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนามาไม่น้อยกว่า๑๕ปีแบบต่อเนื่อง
มาพูดอะไรจะเกิดขึ้น ท่านคิดหรือครับว่า พวกคนเหล่านั้นจะเชื่อ
ไม่กลายเป็นคนบ้า ก็กลายเป็นขี้โม้อวดตนเองไปซะงั้น

คนเราลองมีอคตินำเสียอย่างแล้ว ต่อให้พูดมีเหตุผลดีแสนดีแค่ไหน
เค้าก็ไม่เชื่อหรอกครับ ขนาดพุทธวจนะยังไม่เชื่อ แล้วผมจะไปเหลือเหรอ!!!!

;aa24