ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
    พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๖๗ | ทรงเสด็จอุรุเวลา เพื่อโปรดชฎิลสามพี่น้อง
    พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๖๗ : ทรงเสด็จอุรุเวลา เพื่อโปรดชฎิลสามพี่น้อง

    ทรงเสด็จอุรุเวลา เพื่อโปรดชฎิลสามพี่น้อง
    ทรงเสด็จไปหาชฎิลอุรุเวลกัสสปก่อน

    ครั้นพระบรมศาสดาทรงส่งพระสาวกเหล่าภัททวัคคีย์ไปแล้ว ในวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ เมื่อออกพรรษาแล้ว ก็เสด็จโดยลำพังพระองค์ ตรงไปยังอุรุเวลาประเทศ ซึ่งเคยเป็นสถานที่ประทับตรัสรู้ อันตั้งอยู่ในเขตเมืองราชคฤห์มหานคร ซึ่งเป็นที่อยู่ของอุรุเวลกัสสป อาจารย์ใหญ่ของเหล่าชฎิล ๕๐๐ นครราชคฤห์นั้นเป็นเมืองหลวงแห่งรัฐมคธ ซึ่งเป็นมหาประเทศ พระเจ้าพิมพิสารมหาราช เป็นพระมหากษัตริย์ปกครองโดยสิทธิ์ขาด เป็นเมืองที่คับคั่งด้วยผู้คน เจริญด้วยวิทยาการความรู้ ตลอดจนการค้าขาย และเป็นที่รวมแห่งบรรดาคณาจารย์ เจ้าลัทธิมากมายในสมัยนั้น

    การที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดชฎิลสามพี่น้องนั้น ก็เพราะนักบวชสามพี่น้องนี้เป็นคณาจารย์ใหญ่ที่คนเคารพนับถือมากในสมัยนั้น การให้นักบวชที่มีอิทธิพลทางความนับถือ ได้หันมานับถือพระองค์นั้น เป็นนโยบายสำคัญของพระพุทธเจ้าในการประกาศพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาที่เพิ่งเกิดใหม่ เพราะถ้าปราบนักบวชที่มีอิทธิพลมากลงได้เสียแล้ว การประกาศพระศาสนาของพระองค์ก็ง่ายขึ้น และจะได้ผลรวดเร็ว

    พระพุทธเจ้าจึงเสด็จมาสำนักของชฎิลสามพี่น้องซึ่งตั้งตนว่าเป็นพระอรหันต์ และพระองค์ได้ทรงทรมาน คือ การแสดง หรือพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกชฎิลไม่ใช่พระอรหันต์อย่างที่อ้าง คุณธรรมใดๆ ที่พวกชฎิลถือว่าพวกตนมีและว่าวิเศษ พระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงให้เห็นว่าหาเป็นเช่นนั้นไม่

    ในบรรดาคณาจารย์ใหญ่ๆนั้น ท่านอุรุเวลกัสสป เป็นคณาจารย์ใหญ่ผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของคนเป็นอันมาก ท่านอุรุเวลกัสสปเป็นนักบวชจำพวกชฎิล ท่านมีพี่น้องด้วยกัน ๓ คน มีสำนักบวชใหญ่แห่งหนึ่ง เรียกกันว่า "ชฎิลสามพี่น้อง" เพราะออกบวชจากตระกูลกัสสป ท่านอุรุเวลกัสสปเป็นพี่ชายใหญ่ มีชฎิล ๕๐๐ เป็นบริวาร ตั้งอาศรมสถานที่พนาสณฑ์ ตำบลอุรุเวลา ต้นแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลหนึ่งจึงได้นามว่า อุรุเวลกัสสป

    น้องคนกลางมีชฎิลบริวาร ๓๐๐ ตั้งอาศรมสถานที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ถัดเข้าไปอีกตำบลหนึ่ง จึงได้นามว่า นทีกัสสป ส่วนน้องคนเล็กมีชฎิลบริวาร ๒๐๐ ตั้งอาศรมใหญู่ที่คุ้งใต้ ของแม่น้ำเนรัญชรานั้นต่อไปอีกตำบลหนึ่ง ซึ่งมีนามว่าตำบลคยาสีสะ จึงได้นามว่า คยากัสสป ชฎิลคณะนี้ทั้งหมดมีลัทธินิยมในการบูชาเพลิง ซึ่งในสมัยนั้นการบูชาไฟยังเป็นความเลื่อมใสของคนกลุ่มใหญ่

    [​IMG]

    พระบรมศาสดาเสด็จไปถึงอาศรมสถานของท่านอุรุเวลกัสสปในเวลาเย็น จึงเสด็จตรงไปพบอุรุเวลกัสสปทันที ทรงรับสั่งขอพักแรมด้วยสัก ๑ ราตรี อุรุเวลกัสสปรังเกียจ ทำอิดเอื้อนไม่พอใจให้พัก เพราะเห็นพระบรมศาสดาเป็นนักบวชต่างลัทธิของตน พูดบ่ายเบี่ยงว่า ไม่มีที่ให้พัก ครั้นพระบรมศาสดาตรัสขอพักที่โรงไฟ ซึ่งเป็นสถานที่บูชาเพลิงของชฎิล ด้วยเป็นที่ว่างไม่มีชฎิลอยู่อาศัย อุรุเวลกัสสปได้ทูลว่า พระองค์อย่าพอใจพักที่โรงไฟเลย ด้วยเป็นที่อยู่ของพญานาคมีพิษร้ายแรง ทั้งดุร้ายที่สุดอาศัยอยู่ จะได้รับความเบียดเบียนจากนาคราชนั้น ให้ถึงอันตรายแก่ชีวิต เมื่อพระบรมศาสดารับสั่งยืนยันว่า นาคราชนั้นจะไม่เบียดเบียนพระองค์เลย ถ้าท่านอุรุเวลกัสสปอนุญาตให้เข้าอยู่ ท่านอุรุเวลกัสสปจึงได้อนุญาตให้เข้าไปพักแรม ในคืนนั้น

     
  2. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
    ...การฝึกใจ...
    หลวงพ่อชา สุภัทโท

    [​IMG]

    ใจของเรานี่มันอยู่ในกรง
    ยิ่งกว่านั้นมันยังมีเสือที่กำลังอาละวาดอยู่ในกรงนั้นด้วย
    ใจที่มันเอาแต่ใจของเรานี้
    ถ้าหากมันไม่ได้อะไรตามที่มันต้องการแล้ว มันก็อาละวาด
    เราจะต้องอบรมใจด้วยการปฏิบัติภาวนา ด้วยสมาธิ
    นี้แหละที่เราเรียกว่า ...การฝึกใจ...


    คัดลอกจาก...
    การฝึกใจ
    จงอยู่กับปัจจุบัน อย่าจมอยู่กับอดีต

    ที่มา : http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=21
     
  3. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
    คำสอนภาวนาจากหลวงปู่ชา
    พระโพธิญาณเถร ( หลวงปู่ชา )

    [​IMG]


    .
    การภาวนานั้น ไม่ใช่ว่าจะนั่งหลับตาภาวนาอย่างเดียว

    แต่ต้องทำและทำได้ตลอดเวลา

    การยืน การเดิน การนั่ง การนอน ให้มีสติประคับประคองอยู่เสมอ

    สมาธินั้น อาตมาไม่เอามากหรอก

    แต่ให้มี สติ อยู่เสมอ

    .

    พระโพธิญาณเถร

    (หลวงปู่ชา)

    ขอขอบคุณ
    http://www.dhammathai.org/store/talk/view.php?No=384
     
  4. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
    คำถามที่สำคัญที่สุดในชีวิต
    หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ

    [​IMG]


    .
    เราควรถามตัวเองว่า

    เราเกิดมาทำไม

    เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร

    สิ่งที่ดีที่สุด

    ที่เราควรทำคืออะไร

    และเราได้กระทำสิ่งนั้นแล้วหรือยัง




    We should ask ourseves

    That

    Why we were born,

    What we live for,

    What is the best thing we should do

    and have we do that yet?



    ที่มา : http://www.oknation.net/blog/awake
     
  5. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
    มรดกแห่งชีวิต เรื่องทุกข์สร้างสุข
    ท่านพุทธทาสภิกขุ

    [​IMG]

    มรดกแห่งชีวิตเรื่อง ทุกข์สร้างสุข


    ความทุกข์สอนอะไรๆให้เราได้ดีกว่าความสุข

    คือสอนตรงกว่า มากกว่า รุนแรงกว่า

    ความสุขมีแต่ทำให้ลืมตัว เหลิงเจิ้ง ไม่ทันรู้ และไม่ค่อยสอนอะไร

    ขอขอบใจความทุกข์ซึ่งเป็นเสมือนเพชรในหัวคางคก

    เพชรในหัวคางคก คือความดับทุกข์ที่หาพบในความทุกข์

    เสมือนการดับไฟ ก็หาพบที่ไฟนั่นเอง

    จงรู้จักความลับข้อนี้ด้วยกันทุกคนเถิด

    มิฉะนั้นจะหาไม่พบสิ่งที่ควรพบตามธรรมชาติทั่วไป






    ที่มา : http://www.oknation.net/blog/awake
     
  6. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
    [​IMG]
    "เป็นอะไรกันล่ะ จึงมานั่งร้องไห้"
    หลวงพ่อ ชา สุภัทโท









    [​IMG]


    วันหนึ่ง ขณะที่ธุดงค์ไปพักที่วัดถ้ำแสงเพชร ซึ่งอยู่ไกลจากอำเภอเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ พอสมควร ปรากฏว่า มีโยมอุปัฏฐากที่เป็นผู้มีหน้า มีตา ของอำเภอ และเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ นักปฏิบัติ มานั่งร้องไห้ต่อหน้าหลวงพ่อ หลวงพ่อก็ยังคงนั่งเฉยอยู่ จนเมื่อโยมได้สร่างโศกลงบ้าง ท่านก็ถามว่า "เป็นอะไรล่ะ จึงนั่งร้องไห้" โยมผู้นั้นเล่าว่า รถที่เพิ่งซื้อมาใหม่ถูกขโมยไปแล้ว แต่ หลวงพ่อก็นั่งเงียบ เผอิญก็มีโยมผู้ชายคนหนึ่งมาพร้อมกับญาติ พอกราบหลวงพ่อเสร็จก็ร้องไห้ เป็นวรรคเป็นเวรเช่นกัน หลวงพ่อนั่งคอยจนเขาพอพูดได้ ก็ถามด้วยคำถามเดิมว่า "เป็นอะไรไปล่ะ" ​

    เขาก็ตอบว่า "เมียตายสองคน ลูกตายสองคน" (เผอิญชายคนนี้มีภรรยาสองคนอยู่ในบ้าน เดียวกัน) หลวงพ่อก็ถามต่อว่า "เป็นอะไรตายล่ะ" โยมผู้ชายก็ตอบว่า "กินเห็ดเบื่อตาย" ​

    หลวงพ่อหันไปถามโยมผู้หญิงที่ยังน้ำตาซึม แต่ก็นั่งเงียบฟังโยมผู้ชายเล่าอยู่ด้วยและพูดว่า ​

    "แลกกันไหมล่ะ ดูซิ ของเขาลูกเมียตายตั้งสี่คน ของโยมรถหายคันเดียว โลกนี้เป็นอย่างนี้ แหละ มีความปรารถนาอะไรแล้วไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์ ไม่อยากให้รถหาย มันก็หาย ไม่ อยากให้ลูกเมียตาย ก็ตาย ใครจะห้ามได้ ชีวิตทุกชีวิตเป็นอย่างนี้แหละ ใครอยากล่ะ โยม อยากให้รถหายไหม โยมอยากให้ลูกเมียตายไหม" ​

    ทั้งคู่ก็ตอบรับหลวงพ่อว่า "ไม่อยากค่ะ (ครับ)" ​

    หลวงพ่อกล่าวต่อไปว่า "เป็นอย่างนี้แหละ ความโศก ความร่ำไรรำพัน ให้เราพิจารณาดู ทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าเราไม่หนีมัน มันก็หนีเรา คนก็เหมือนกัน เราไม่จากเขา เขาก็จากเรา มันอยู่ที่ ใครไปก่อนใครเท่านั้นเอง บางทีวัตถุก็ไปก่อนเรา บางทีเราก็ไปก่อนวัตถุ บางทีคนใกล้ชิดเราเขา ก็ไปก่อน บางทีเราไปก่อนเขา มันเป็นไปตามเหตุปัจจัยของกรรม ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ​

    สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม เราย่อมมีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นผู้ติดตาม ให้ผล ไม่ว่าบุญหรือบาป ดีหรือชั่วก็ตาม เราจะต้องรับกรรมนั้นโดยแน่นอน ​

    สำหรับโยมผู้ชายนั้นโยมผู้หญิงกับลูกเขาทำกรรมกับเรามาแค่นี้ เขาตายไปเขาก็ไม่ขอ อนุญาตเรา ไม่บอกเรา ไม่ได้เขียนใบลา เขาก็ตายไป โยมผู้หญิงก็เช่นกัน รถคันนี้มันทำกรรมกับ โยมมาแค่นี้ รถมันก็ไม่บอกเราก่อนว่ามันจะถูกขโมยแล้วนะ อยู่ ๆ มันก็หายไป ดังนั้นให้เราเห็นว่า เป็นธรรมดาของทุกสิ่งทุกอย่าง เราไม่หนีมัน มันก็หนีเรา เราเกิดมาเป็นอะไร เกิดที่ไหน เกิดมากี่ ครั้ง ๆ โลกก็เป็นเช่นนี้ เราเองต่างหากที่ไปอุปาทานว่า นี่รถของเรา นี่ลูกนี่เมียของเรา รถมันไม่เคย บอกนะว่ามันเป็นของเรา เราไปซื้อมันมาตกแต่ง มารักมันเอง ที่จริงรถมันไม่ได้เป็นของใคร
    มันเป็น ของธรรมชาติที่ไหลไปตามเหตุปัจจัย มนุษย์ไปสมมุติขึ้นมา แล้วยึดว่าเราเป็นเจ้าของ เมื่อมันหาย ไปให้เราคิดว่า นั่นเป็นการคืนกลับสู่ธรรมชาติ โยมผู้ชายก็เหมือนกัน ลูกเมียก็เสียไปแล้ว พิจารณา มองให้เห็นว่าเป็นทุกข์ ไม่ใช่พอสร่างโศกก็ไปหามาใหม่ เป็นการเพิ่มทุกข์ขึ้นมาอีก เราควรทำบุญ ให้ทาน รักษาศีล ทำภาวนา แผ่ให้ผู้ตายบ้าง เราเองก็ต้องตาย ไม่แน่ว่าเมื่อไร ขอให้เข้าใจสัจธรรม ของธรรมชาติ"

    หลวงพ่อกล่าวเป็นสังเขปพอให้โยมสร่างทุกข์ หน้าที่ของพระก็คือ แก้ไขทุกข์ โดยคิดว่า ทุกคนเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น เมื่อกล่าวไปแล้วก็ไม่ได้คิดปรุงว่า จะแก้ ได้หรือไม่ได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมีคำตอบอยู่ในตัวมันเองอยู่แล้ว ผู้มีปัญญาก็จะค้นหาคำตอบ ของปัญหาของเขาเองได้ในที่สุด

    ที่มา : คุณ sawaddee จาก ลานธรรมเสวนา
    http://www.dhammathai.org/store/talk/view.php?No=342



    สองท่อนสุดท้ายนี่สำคัญสุด จึงต้อง highlight ไว้ครับ

    พันวฤทธิ์
    26/10/51
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ตุลาคม 2008
  7. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
    เรื่องของพลังจิต


    --------------------------------------------------------------------------------

    จากหนังสือ ธรรมะในจิต โดย อาจารย์ พิศ เงาเกาะ

    เรื่องของพลังจิต


    พลังจิต (Mind Power)


    หมายถึงคลื่นความถี่ของพลังงานความคิด (Pranic Energy) ซึ่งเป็นพลังงานไฟฟ้าบวก (Proton) ไฟฟ้าลบ (Electron) ที่เกิดจากต่อมไพเนียล (Pineal Body) ที่สมองตอนบน เมื่อบุคคลคิดต่อมนี้จะสร้างคลื่นความถี่ของความคิดขึ้น


    คลื่นนี้อาจจะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับขบวนการทางความคิด(Thinking Process) นั้น คลื่นนี้จะลอยอยู่รอบๆตัวผู้คิด เมื่อคิดถึงใคร
    คลื่นนั้นจะพุ่งตรงไปยังต่อมสร้างความคิดของผู้รับนั้น ถ้าผู้รับรับคลื่นความคิดนั้นได้ จะเกิดความคิดเช่นนั้นทันที เรียกว่าเกิดการรับรู้ความคิดของผู้อื่นได้
    บุคคลที่มีพลังจิตสูง


    บุคคลที่มีพลังจิตสูงคือ บุคคลที่มีสมาธิดี เช่น มีสมาธิอยู่ในขั้นกลางที่เรียกว่าอุปจารสมาธิ และสมาธิขั้นสูงที่เรียกว่าอัปปนาสมาธิ

    --------------------------------------------------------------------------------


    การทำงานของพลังจิต



    จิตจะทำงานได้จิตต้องมีเครื่องมือคือร่างกายที่เป็นอยู่ของจิต จิตจึงแสดงผลออกมาให้เห็นได้ ส่วนของมันสมองมีหน้าที่รับคำสั่งของจิตคือ ต่อมไพเนียล (Pinial Body) ซึ่งเป็นต่อมเล็กๆสีแดงอมเทา รูปกรวย เป็นส่วนประกอบของปลายประสาท ต่อมนี้อยู่ในส่วนกลางตอนบนของมันสมอง เมื่อต่อมไพเนียลรับคำสั่งของจิตต่อมนี้จะสร้างเป็นคลื่นความถี่ออกมา คลื่นความถี่จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความคิดนั้น และจะลอยอยู่รอบๆตัวผู้คิด และคลื่นความถี่นี้จะวิ่งไปตามประสาทต่างๆทั่งร่างกายเพื่อควบคุมการทำงานของอวัยวะนั้นๆ พลังงานไฟฟ้าที่ควบคุมอวัยวะต่างๆจะมีกระแสความถี่ต่างกันตามหน้าที่ของอวัยวะและคนนั้นๆอีกด้วย เช่น Electron และ Protron ที่ควบคุมการทำงานของเซลล์เนื้อเยื่อของอวัยวะต่างๆทำให้มีการสร้างและการทำลายของเซลล์ได้ตามปกติ เช่น ทำลายไป 10 เซลล์ก็จะสร้างขึ้นมาทดแทนเช่นเดิม อวัยวะนั้นจะทำหน้าที่ได้ตามปกติ สร้างภูมิต้านทานของร่างกายให้สูงเป็นปกติ ร่างกายจะแข็งแรงสมบูรณ์

    --------------------------------------------------------------------------------


    การศึกษาพลังจิต


    ได้มีการค้นคว้าทางพลังจิตทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ประเทศไทยเรียกพลังนี้ว่าพลังอำนาจทิพย์ ในต่างประเทศ เช่น ชาวจีนโบราณเรียกว่าพลังแห่งชีวิต
    (Life Force Energy) ชาวยุโรป เช่น เยอรมันเรียกว่าพลังงานแม่เหล็กสัตว์ (Animal Magnetism) ชาวรัสเซียเรียกว่าพลังงานชีวภาพ
    (Bioplasmic Energy) นักวิทยาศาสตร์ในกลุ่มประเทศตะวันตกเรียกว่าพลังชีวภาพ (Bio Energy) หรือพลังแม่เหล็กไฟฟ้า
    (Electo Magnetic Force)


    บุคคลที่มีร่างกายแข็งแรงคือผู้ที่มีพลังจิตสมบูรณ์ควบคุมอยู่ทั่วทุกส่วนของร่างกายทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นแจ่มใสกระฉับกระเฉง พลังจิตจะเปล่งเป็นรัศมีออกโดยรอบร่างกาย ตรงกันข้ามคนป่วยจะมีพลังจิตควบคุมอยู่เพียงเล็กน้อย ภูมิต้านทานในร่างกายจะลดต่ำลง ร่างกายจะอ่อนแอ และจะมีร่างกายที่ปกติเหมือนเดิมได้เมื่อได้รับพลังจิตนั้นๆเพิ่มขึ้น


    ดังนั้นพลังจิตจึงเป็นพลังงานที่ควบคุมการทำงานของร่างกาย เช่น การหมุนเวียนของโลหิต การเจริญเติบโตของเซลล์ หากร่างกายส่วนใดขาดพลังจิตร่างกายส่วนนั้นจะไม่สามารถทำหน้าที่ใดๆได้ตามปกติ หรือร่างกายไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ พลังจิตที่ใช้กันทั่วไปมี 3 ลักษณะคือ
    1.Telepathy คือพลังงานแห่งเมตตา พลังนี้ติดต่อกันได้โดยทางจิต เป็นพลังงานที่ใช้เพื่อการสร้างสรรค์
    2.Telkynesys คือพลังงานที่ใช้บังคับวัตถุให้เคลื่อนที่ หรือใช้เพื่อทำลายวัตถุต่างๆ เป็นพลังงานที่ใช้เพื่อการบังคับหรือเพื่อการทำลาย
    3.Teleportation คือพลังงานที่ใช้เพื่อการล่องหนหายตัว เมื่อใช้พลังงานนี้แล้ว สามารถเดินบนน้ำบนอากาศ หรือเพื่อผ่านเครื่องกีดขวางได้
    พลังจิตผิดปกติทำให้เจ็บป่วย


    จิตมีอำนาจเหนือร่างกาย ที่เรียกว่า จิตเป็นใหญ่ จิตเป็นประธาน สำเร็จแล้วด้วยจิต เมื่อจิตมีอำนาจของกรรมครอบงำอยู่ จิตนั้นจะสั่งกายซึ่งเป็นเครื่องมือของจิตตามอำนาจของกรรมนั้น เช่น จิตมีอำนาจของอกุศลกรรมมาก พลังงานไฟฟ้าที่ออกมาจะไม่มีความสมดุลย์ทางธรรมชาติ เช่น ทำให้พลังงานไฟฟ้าบวกสูงมาก พลังงานไฟฟ้าลบสูงมากบ้าง จะมีผลทำให้ระบบการสร้างการทำลายของร่างกายไม่คงที่ ดังนี้ พลังงานไฟฟ้าบวกสูงมาก จะทำให้การสร้างเซลล์มากกว่าการทำลายหรือเท่าเดิม แต่รูปร่างโตกว่าเดิม จะเป็นสาเหตุของโรคบวม เนื้องอก เช่น โรคหัวใจ โรคมดลูก เนื้องอกธรรมดา เนื้องอกมะเร็งเป็นต้น


    นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็งได้กล่าวถึง ทฤษฏีเกี่ยวกับมะเร็งที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดว่า เซลล์มะเร็งเกิดขึ้นในตัวคนเราตลอดเวลา แต่ถูกทำลายโดยเซลล์เม็ดเลือดขาว ก่อนที่มันจะโตจนก่อพิษภัยแก่ร่างกาย โรคมะเร็งเกิดขึ้นต่อเมื่อระบบภูมิคุ้มกันถูกกดดันการทำงานไว้ ทำให้ไม่สามารถขจัดเซลล์มะเร็งที่ก่อตัวขึ้น ดังนั้นถ้ามีอะไรก็ตามส่งผลกระทบต่อการทำงานของสมองที่จะควบคุมระบบภูมิคุ้มกัน มะเร็งย่อมเกิดขึ้นได้ พลังงานไฟฟ้าลบสูงมาก จะทำให้การสร้างเซลล์น้อยกว่าการทำลายหรือเท่าเดิม แต่รูปร่างเล็กกว่าเดิม จะเป็นสาเหตุของโรคลีบตีบต่างๆ เช่น หลอดเลือดตีบ ลิ้นหัวใจตีบ
    กล้ามเนื้อตาย มันสมองฝ่อ ภูมิต้านทานบกพร่อง ตับวาย ไตวาย กล้ามเนื้อหัวใจไม่ทำงาน เรียกว่า โรคไหลตาย เด็กเกิดมามีร่างกายไม่สมบูรณ์เป็นต้น


    พลังงานไฟฟ้าภายในร่างกายของแต่ละบุคคลอาจไม่เท่ากันก็เป็นได้ ผมเคยพบว่าการเพิ่มเลือด เกล็ดเลือดให้คนไข้ สภาพร่างกายคนไข้ไม่ยอมรับเลือดหรือเกล็ดเลือดนั้น เพราะเลือดใหม่และเลือดเก่าไม่สามารถเข้ากันได้ แม้ทางการแพทย์จะวิเคราะห์แล้วว่าเป็นเลือดกรุ๊ปเดียวกัน เมื่อพิจารณาในสมาธิพบว่าพลังงานไฟฟ้าที่ควบคุมเม็ดเลือดนั้นไม่เท่ากัน แสดงว่าพลังงานควบคุมเม็ดเลือดของแต่ละคนจะเท่ากันหรือไม่เท่ากันก็ได้ และพบอยู่มากกับกลุ่มผู้หลงผิดที่ไปรับเอาพลังงานอื่นมากดทับพลังจิตของตนเอง ทำให้การทำงานของพลังจิตของตนผิดไป


    จิตนั้นจึงสั่งมาที่สมองของตนผิด การแสดงออกของร่างกายจิตผิดไปด้วย เช่น กลุ่มของคนทรงเจ้าเข้าผี กลุ่มของคนเหล่านี้จะไปรับเอาเวทย์มนต์คาถา ของอิทธิฤทธิ์ ของอาถรรพ์ดวงวิญญาณเข้ามาสิง เช่น ดวงวิญญาณกุมารทอง นางกวัก ปลัดขิก เจ้าพ่อ เจ้าแม่ น้ำมันพรายหรือองค์เทพต่างๆมาอยู่กับตนที่เรียกว่า เดรัจฉานวิชา ไม่เป็นจิตดั้งเดิมของตนเอง อาการป่วยของบุคคลเหล่านี้ทางการแพทย์จะตรวจหาสาเหตุไม่พบ

    --------------------------------------------------------------------------------


    การเพิ่มและการรับพลังจิต


    บุคคลที่มีสมาธิดีจะมีคลื่นความถี่ และความรุนแรงของพลังงานความคิดสูง สามารถที่จะส่งพลังงานนั้นไปยังบุคคลที่ตั้งเป้าหมายไว้ได้แน่ชัดทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ตัวผู้รับได้ตามความปราถนานั้น เรียกว่า การเพิ่มและการรับพลังจิต การเพิ่มแต่ละครั้งแต่ละคนไม่เหมือนกัน เพิ่มพลังจิตแต่ละครั้งนานเท่าใด ผู้เพิ่มพลังจิตจะทราบได้ในสมาธิจิตนั้น หากผู้รับยังรับได้ก็เพิ่มให้ต่อไป หากเห็นว่าพลังจิตที่ส่งไปนั้นหยุดลง ก็หยุดเพิ่มพลังจิตในครั้งนั้น และต้องเพิ่มพลังจิตกี่ครั้งจึงจะได้ผล สิ่งนี้ไม่มีกำหนดแน่นอนขึ้นอยู่กับผู้รับ หากผู้รับสามารถรับพลังจิตได้มาก และเห็นว่าอวัยวะที่ผิดปกตินั้นเปลี่ยนเป็นปกติเร็วพลังจิตที่ส่งไปจะหยุดลง ควรหยุดเพิ่มพลังจิตให้ผู้ป่วยกลับไปทำสมาธิภาวนาด้วยตนเอง ผู้ป่วยจะสร้างพลังจิตที่ดีขึ้นมาได้ พลังจิตนั้นๆจะบำบัดทุกข์ให้กับผู้ป่วยได้ในที่สุด
    การเพิ่มพลังจิตกระทำได้ 3 ทาง คือ
    1. เพิ่มที่อวัยวะนั้นโดยตรง
    2. เพิ่มที่จุดกำเนิดของพลังจิต คือที่ต่อมไพเนียล
    3. เพิ่มพลังจิตให้ครอบคลุมทั้งตัวผู้รับ จะเพิ่มให้ใครที่อวัยวะใดนั้นจะทราบและเห็นได้ในสมาธินั้นๆ
    --------------------------------------------------------------------------------


    ผู้เพิ่มพลังจิตที่ดี


    ผู้เพิ่มพลังจิตที่ดีควรมีคุณสมบัติดังนี้คือ เป็นผู้ที่ตั้งอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา และเมื่อเพิ่มพลังจิตให้กับใครก็ตามต้องรู้ทุกข์ รู้สาเหตุแห่งทุกข์ รู้หนทางดับทุกข์ และรู้วิธีการดับทุกข์นั้นๆโดยชัดแจ้งพร้อมตั้งตนอยู่ในพรหมวิหารธรรม และหิริโอตัปปธรรม ผู้รับพลังจิตที่ดี คือ เป็นผู้ที่มี
    1. ศรัทธา ผู้รับต้องมีศรัทธาที่จะรับพลังจิต
    2. สมาธิ ผู้รับต้องมีความตั้งมั่นแห่งจิตอยู่กับกายและจิตของตน
    3. สติ ผู้รับต้องมีความระลึกได้ว่าตนกำลังรับพลังจิตอยู่
    4. ปัญญา ผู้รับต้องรู้จักการปล่อยวางความทุกข์ออกจากจิตใจในขณะนั้น
    5. ความขยันหมั่นเพียร การรับพลังจิตนั้นต้องรับสม่ำเสมอและให้ตั้งอยู่ในคำสอนของพุทธองค์เป็นหลัก ดังกล่าวแล้ว

    --------------------------------------------------------------------------------


    การเพิ่มพลังจิตผ่านบุคคลอื่นวัตถุอื่น


    บางกรณีที่จำเป็น คือ ผู้ป่วยไม่สามารถขอรับพลังจิตด้วยตนเองได้ เช่นอยู่ในห้องผู้ป่วยหนัก อยู่ในโรงพยาบาลจิตเวช อยู่ต่างประเทศ ผมได้ทดลองเพิ่มพลังจิตผ่านกระแสจิตของผู้ใกล้ชิด เช่น พ่อ แม่ บุตร สามี ภรรยา ผู้ดูแล หรือผ่านลงไปในน้ำดื่ม ก็สามารถช่วยผู้ป่วยได้บ้างเป็นบางส่วนเท่านั้น
    --------------------------------------------------------------------------------


    บุญและบาปเป็นพลังงาน


    หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 4 ธันวาคม 2536 และ 30 มกราคม 2537 ลงบทความเรื่องสัจธรรม โดย พญ.บุษกร กล่าวว่า
    ร่างกายของสัตว์เป็นสสารควบคู่กับจิตใจซึ่งเป็นพลังงานทั้งร่างกายและจิตถูกพลังงานแห่งกิเลสปรุงแต่งให้จิตมืดบอด หรือ ราคะ โทสะ และโมหะ ส่งผลให้เกิดมโนกรรม วจีกรรม และ กายกรรมและกระทำความชั่วต่างๆได้ตามอำนาจของกรรมนั้นๆ


    บุคคลที่มีจิตมีสัมมาสมาธิ สัมมาทิฏฐิ มีจิตเมตตาปราณี ทางการแพทย์พบว่าต่อมใต้สมองจะผลิตสารบุญเรียกว่า เอนดอร์ฟีน (Endorphine) ออกมามากส่งผลให้ร่างกายเบาสบาย ที่เรียกว่าเกิดปิติ กินได้นอนหลับ ไม่ฝันร้าย หรือไม่ฝันเลย ผิวพรรณผ่องใสใบหน้าสดชื่น โคเรสเตอรอลละลายสลายตัว เม็ดเลือดขาวแข็งแรง มีภูมิคุ้มกันโรคสูง ระบบต่างๆของร่างกายทำงานได้ดี เจ็บป่วยทางกายน้อยลง บาดแผลหายเร็วกว่าผู้มีจิตใจเป็นบาปถึงเท่าตัว หากเป็นโรคมะเร็ง เซลล์มะเร็งจะหยุดหรือลุกลามช้าลง


    ในทางตรงกันข้าม บุคคลที่จิตมีมิจฉาสมาธิ มิจฉาทิฏฐิ จิตที่คิดเกลียด โกรธ อิจฉาริษยา อาฆาต พยาบาท เคียดแค้น เครียด วิตกกังวล ต่อมหมวกไตจะสร้างสารบาปออกมามาก สารนี้จะซึมเข้าสู่กระแสโลหิตแล้วไปออกฤทธิ์ที่อวัยวะเป้าหมาย ดังนี้
    1. สารแอดรินาลิน (Adrenalin) ทำให้หัวใจเต้นเร็งแรง เส้นโลหิตแดงหดเกร็ง เป็นเหตุให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ถ้าเส้นเลือดแดงที่ไปหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อผนังหัวใจหดจนตีบตัน หัวใจจะวายถึงตายได้ โคเรสเตอรอลจะถูกสร้างขึ้นทั้งๆที่มิได้รับประทานไขมันสัตว์ กะทิ ไข่แดง หอยนางลม หรือเครื่องในสัตว์มากกว่าปกติ
    2. สารสเตียร์รอยด์ (Sterroid) ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการหลั่งน้ำย่อยอาหาร อาจมีผลทำให้หลั่งมากหรือน้อยก็ได้ ถ้าหลั่งมากน้ำกรดในน้ำย่อยย่อมกัดผนังด้านในของกระเพาะอาหารทำให้ปวดท้องบริเวณลิ้นปี่ เกิดแผลในกระเพาะอาหาร ถ้ากัดกร่อนเส้นเลือดใหญ่ทะลุ จะอาเจียนเป็นเลือด หากช่วยไม่ทันจะเสียเลือดจนตาย ถ้าหลั่งน้อย ท้องจะอืดเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ไม่อยากรับประทานอาหาร
    3. สารแลคติค แอซิด หรือ เกลือแลคติค (Lactic Acid) ที่เกิดขึ้นแล้วมีผลต่อร่างกาย คือ
    3.1 ทำลายภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำลายความแข็งแรงของเม็ดเลือดขาว เหมือนฤทธิ์ของ HIV เชื้อโรค AIDS ร่างกายจึงอ่อนแอ เจ็บป่วยบ่อย หายนาน
    3.2 เกล็ดเลือดในกระแสโลหิตจับตัวกันเป็นลิ่มเล็กๆ ไปอุดตันตามหลอดเลือดฝอยต่างๆ ถ้าเกิดขึ้นกับอวัยวะสำคัญ เช่น มันสมองจะทำให้เกิดอัมพาตขึ้นได้


    พลังงานแห่งวิบากกรรมเหล่านี้ เมื่อถูกก่อขึ้นแล้วมิอาจสูญหายไปในทางใดได้ พลังงานดังกล่าวจะตามสนองเรื่อยไปตามโอกาสตราบจนผู้นั้นสิ้นกิเลส สิ้นกรรม ไม่ก่อพลังงานของกรรมใหม่อีกต่อไป ที่เรียกว่า กรรมเป็นผู้ติดตาม


    เมื่อท่านทราบผลกรรมที่เป็นปัจจุบันกรรมเช่นนี้แล้ว ขอได้หยุดสร้างกรรมต่อกัน ทั้งมโนกรรม วจีกรรม และกายกรรม พลังงานของวิบากกรรมจะเกิดขึ้นน้อยหรือไม่เกิดขึ้น การทำงานทุกระบบของร่างกายจะเป็นปกติ ท่านจะมีสุขภาพสมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ

    http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sanmongkol&group=38
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2014
  8. narin96

    narin96 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +28
    วันนี้ได้โอนเงินเข้าทุนนิธิฯ เพื่อร่วมบุญประจำเดือน ๒๐๐ บาท ครับ
     
  9. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    916
    ค่าพลัง:
    +4,291
    "พอดี"(พอเพียง)
    นั่นแหละ"ดี"

    [​IMG]


    ขอขอบคุณข้อมูลจากเว็บไซท์
    http://www.phuttawong.net
     
  10. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    916
    ค่าพลัง:
    +4,291
    เมื่อ"แนวหน้า"กับ"แนวลึก"พบกัน

    [​IMG]

    หมายเหตุ 1. ภาพข้างบนนี้ เป็นการพบด้วย"กายเนื้อ"เป็นครั้งสุดท้ายระหว่างครูบาอิน วัดทุ่งปุย (อายุ 100 ปี) กับครูบาตั๋น สำนักม่อนปู่อิ่น กิ่งอ.ดอยหล่อ จ.เชียงใหม่(อายุ 92 ปี)
    2.ซึ่งครูบาตั๋นเคยพูดอย่างติดตลกให้ฟังครั้งหนึ่งว่า
    "ครูบาอินนั้น ท่านเป็นแนวหน้า เพราะอยู่ปากซอย ส่วนเฮาเป็นแนวลึกเพราะอยู่ท้ายซอยลึกเข้ามา( 7 กิโลเมตร)น๊ะ..!?!"

    ขอขอบคุณข้อมูลจากเว็บไซท์
    http://www.phuttawong.net
     
  11. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    916
    ค่าพลัง:
    +4,291
    ท่านพระครูหลวงปู่ครูบากองแก้ว ญาณวิชโย
    วัดต้นยางหลวง อ.สารภี จ.เชียงใหม่


    ท่านพระครูหลวงปู่ครูบากองแก้ว ญาณวิชโย เป็นศิษย์ครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนา เกิดวันที่ ๑๒ เดือนสิงหาคม ตรงกับเดือน ๑๑ เหนือ (๙ ใต้) ขึ้น ๑๕ ค่ำ พ.ศ. ๒๔๔๐ เป็นบุตรคนที่ ๔ ของนายมา นางหล้า อุตใจมา ได้บรรพชาเป็นสามเณรตั้งแต่อายุได้ ๑๔ ปี พออายุได้ ๒๐ ปี ก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดต้นยางหลวง ซึ่งมีเจ้านายราชวงศ์ ณ เชียงใหม่หลายท่านเป็นเจ้าภาพอุปสมบท และมี พระครูสิทธิ วัดศรีคำชมพู เป็นพระอุปัชฌาย์ และพระคันธวงศ์เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอินทรสเป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมืออุปสมบทแล้วหลวงปู่ครูบากองแก้วได้เข้าไปศึกษาพระปริย์ติธรรม ที่วัดเชตะวัน สมัยนั้นท่านเจ้าคุณคัมภีระธรรมเป็นเจ้าคณะจังหวัดและเป็นอาจารย์สอนด้วยตัวเอง จนหลวงปู่ครูบากองแก้วท่านสอบนักธรรมชั้นตรีได้เป็นองค์แรกของอำเภอสารภี เมื่อ พ.ศ.๒๔๕๖ ซึ้งในสมัยนั้น มีนักธรรมชั้นตรีเท่านั้น น.ธ. โท และน.ธ.เอก ยังไม่มี ต่อมาเมือสอบ น.ธ. ตรีได้แล้ว หลวงปู่ได้ ออกเดินทางปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ตามป่าช้าต่างๆ และเดินธุดงค์ไปทั่วทุกจังหวัดในภาคเหนือ และยังได้ขามแม่น้ำโขงไปจนถึงหวงพระบาง และเวียงจันทร์ และเชียงตุ ได้ไม่ย่อท้อ
    หลวงปู่ครูบากองแก้ว ญาณวิชโย ท่านเป็นพระที่ถือเคร่งมาก ฉันมื้อเดียวและฉันมังสะวิรัติตลอดมา แม้กระทั้งใต้สะพานหรือบ้านที่เป็นตึก ๒ ชั้นท่านก็จะไม่เข้า เพราะฉะนั้นของอะไรที่ท่านสร้างจึงศักดิ์สิทธิ์เป็นเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นรูปหล่อ เหรียญ ผ้ายันต์ ตะกรุดและรูปถ่ายที่ว่ากันว่า เมือปี พ.ศ. ๒๕๑๙ คณะศิษย์มีความประสงค์อยากจะได้รูปถ่ายของท่าน เพื่อให้ครูบากองแก้ว ลงยันต์เมตตามหานิยมแจแก่สาธุชนไว้สักการบูชา โดยให้ช่างถ่ายรูปมาถ่ายรูปท่านแต่ถ่ายไม่ติด ก็รู้สึกแปลกใจ เลยได้นำดอกไม้ธูปเทียนไปขออนุญาตท่านจึงถ่ายติด
    เหรียญ อภินิหาร ๑๗ หลวงปู่ครูบากองแก้วในสมัยนั้น ท่านไม่เคยให้อนุญาตให้ใครสร้างเหรียญของท่านเลย กรรมการของวัด ของสร้างเพื่อหาทุนมาบูรณปฏิสังขรณ์ ถาวรวัตถุภายในวัด ท่านจึงอนุญาตให้สร้าง โดยมีคุณชัชวาล ชุติมา อดีต อ.ส. แห่งจังหวัดเชียงใหม่ในสมัยนั้น ท่านผู้นี้ได้เคยลงสมัครเลือกตั้งหลายครั้ง แต่ไม่เคยได้เลยจึงบอกกับหลวงปู่ครูบากองแก้วว่าถ้าหากได้รับเลือกตั้งครั้งนี้จะสร้างเหรียญมาถวาย และปรากฏว่าก็ได้จริงๆจึงสร้างเหรียญมาถวาย จำนวน ๕๐๐๐ เหรียญ หลังจากปลุกเสกใหญ่แล้วหลวงปู่ท่านนำมาปลุกเสกเดี่ยวอีกด้วยตัวของท่านเอง จนกระทั่งเหรียญดิ้นอยู่ในลังที่บรรจุเป็นเวลา ๓ วัน ๓ คืน เพราะฉะนั้นเหรียญรุ่นนี้จึงศักดิ์สิทธ์เป็นเยี่ยม ทั้งอยู่ยงคงกระพัน และขับภูตผีที่สิงตัวคนก็ได้


    [​IMG]



    [​IMG]


    [​IMG]



    ขอขอบคุณข้อมูลจากเว็บไซท์
    http://www.thailannaamulet.com
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ตุลาคม 2008
  12. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    916
    ค่าพลัง:
    +4,291
    พระหลวงปู่ศุข
    วัดปากคลองมะขามเฒ่า ชัยนาท

    พระเครื่อง เนื้อชินเงิน หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ชัยนาท พิมพ์ฐานบัว(ซุ้มโค้ง) นับเป็นพิมพ์ทรงมาตรฐานแบบหนึ่ง พระเครื่องเนื้อชินเงินเป็นพระเครื่องที่ได้รับความนิยมและมีประสบการณ์สูงสุด เนื่องจากสร้างง่ายเพียงนำตะกั่วน้ำนมมาตั้งกระทะเคี่ยวให้ละลายผสมกับปรอทก็สามาถเทพระเครื่องได้แล้ว พระเครื่องของท่านมีทั้งแม่พิมพ์เดียว(องค์เดียว)และแม่พิมพ์แบบเป็นแผง(จำนวนหลายองค์) หากเป็นแม่พิมพ์แผง(จำนวนหลายองค์) ด้านหลังมักจะมีรอยผ้า เนื่องมาจากการที่ใช้ผ้าห่อด้วยทรายชุบน้ำกดแม่พิมพ์(เพื่อให้องค์พระด้านหน้าติดชัดเจน) หลังจากตะกั่วเย็นลงจึงนำพระแผงที่ได้มาสกัดด้วยสิ่ว ส่วนที่ด้านหลังจะปรากฎรอยจารก็จะเป็นการจารก่อนจะสกัดพระออกจากแผง ดังนั้นพระเครื่องเนื้อชินแบบแผงขอบข้างจะไม่มีรอยจาร(เนื่องจากมีความบาง-ปรากฏร่องรอยสกัดเท่านั้น) ส่วนแม่พิมพ์เดี่ยว จะมีความหนาจึงปรากฏรอยจารที่ขอบข้าง องค์ที่นำมาโชว์นี้เป็นแม่พิมพ์เดี่ยว(หนา) จึงปรากฏรอบจารที่ขอบข้าง


    [​IMG]

    ขอขอบคุณข้อมูลจากเว็บไซท์
    http://www.thailannaamulet.com
     
  13. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    916
    ค่าพลัง:
    +4,291
    พระพุทธรูป ศิลปะเชียงแสนล้านนา แบบลังกาวงศ์ สนิมเขียวหยก

    [​IMG]


    ขอขอบคุณข้อมูลจากเว็บไซท์
    http://www.thailannaamulet.com
     
  14. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    916
    ค่าพลัง:
    +4,291
    พระพุทธคยา
    พิมพ์งบน้ำอ้อย จ.ลำพูน



    [​IMG]

    เป็นพระพิมพ์ที่มีขนาดองค์เขื่องอยู่สักหน่อย ที่น่าทึ่งคือลักษณะเป็นทีมีมิติ(นูนต่ำ) แต่ช่างสามารถแกะพิมพ์และถอดพิมพ์ได้อย่างสมบูรณ์ รูปทรงรีเกือบกลม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 7 ซ.ม.(โดยวัดจากด้านที่กว้างสุด)


    ขอขอบคุณข้อมูลจากเว็บไซท์
    http://www.thailannaamulet.com
     
  15. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
    ดูรูปแล้วใครนั่งสมาธิไม่เป็น อายเด็กนา.....



    รายละเอียด : โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๙๙ (บ้านแม่สุยะ) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา แม่ฮ่องสอน เขต 1 จัดกิจกรรมส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม โดยการให้นักเรียนนั่งสมาธิก่อนเรียน เพื่อให้นักเรียนมีจิตใจมุ่งมั่น มีสมาธิในการเรียน มีจิตใจอ่อนน้อม ถ่อมตน


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  16. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101

    โมทนาและสาธุบุญครับ


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ตุลาคม 2008
  17. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101

    โมทนาและสาธุบุญครับ


    [​IMG]
     
  18. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    วัดนี้ขอนำภาพพระปางซ่อนหาเนื้อเมฆสิทธิ์ของวัดอนงค์ฯ หลวงปู่ศุขวัดปากคลองมะขามเฒ่ายังมาต่อวิชาทำเมฆสิทธิ์ที่วัดนี้ โดยพระเนื้อเมฆสิทธิ์นี้คนโบราณเชื่อว่าสามารถเสริมดวงแก้ดวงตกได้ เนื้อพระจะมันวาวบางองค์เป็นสีปีกแมลงทับ เนื้อพระจะกรอบตกแตกได้ง่าย ขนาดอาจารย์ประถมและพี่ใหญ่สัมผัสแล้วเอ่ยปากว่าดีพลังว่องไวมาก พี่พันวฤทธิ์จึงมอบให้ทั้งพี่ใหญ่และอาจารย์ประถมไปจำนวนหนึ่ง ในวันที่9นี้ถ้าพระมีเหลือจำนวนพอสมควร จะนำไปให้ท่านที่สนใจได้ทำบุญกันในราคาหลักสิบหรือหลักร้อยเท่านั้นเองครับ

    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]

    องค์นี้ผมทำตกเลยบิ่นเห็นเนื้อใน เป็นมันวาวมีเกล็ดทองผสมอยู่ในเนื้อพระ
     
  19. teerins

    teerins เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +1,796
    วันนี้ เวลา 18.21 น. โอนเงินทำบุญสงเคราะห์สงฆ์อาพาธเป็นจำนวนเงิน 309 บาท

    อนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยครับ
     
  20. onimaru_u

    onimaru_u เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +854
    วันนี้ช่วงเย็นได้โอนเงินร่วมทำบุญสงเคราะห์สงฆ์อาพาธฯ
    เป็นจำนวนเงิน 200 บาท
    อนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...