กระแส"พญานาค"กับข้อเท็จจริงบางอย่าง(มีคลิป) คนที่ไม่เชื่อควรดูด้วยดุลพินิจ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย 9@Phonlee, 1 กุมภาพันธ์ 2018.

  1. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,048
    ตุลาคมครับ เป็นงานกฐินประจำปีครับ.
    เหมือนไปเที่ยวไปเมาส์มอยมากกว่าครับ ๕๕
     
  2. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,891
    ค่าพลัง:
    +4,720
    (ปักหมุดที่35) หน้า58 #ลำดับ1156
    หลวงพ่อภรังสี วัดภูพลานสูง จ.อุบลราชธานี

    :):(:oops::oops::oops::oops:o_O

    เรื่อง ไสยศาสตร์ VS วิทยาศาสตร์
    หลวงพ่อ...กราบคารวะครับ...เยี่ยมจริงๆ


    ....แม้แต่พระจันทร์ทรงกลด
    พระอาทิตย์ทรงกลดเหล่านี้
    มีผลกระทบต่อชาวโลกเหมือนกัน
    สุริยคราสจันทราคราส
    ก็มีผลกระทบต่อชาวโลกเหมือนกัน
    จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็มีอยู่ในตำนาน
    นักวิทยาศาสตร์ไม่เชื่อ
    เขาศึกษาตามทฤษฏีตามเหตุตามผล
    สิ่งเหล่านี้ถือเป็นศาสตร์อย่างหนึ่งทางโหราศาสตร์
    ถ้าเราจะพิสูจน์อะไร
    เราก็ต้องตามไปศึกษาเรื่องเหล่านั้น
    จะเอาวิทยาศาสตร์มาพิสูจน์ไสยศาสตร์
    มันคนละศาสตร์กัน กลายเป็นเรื่องปัญหาโลกแตก
    เราสงสัยศาสตร์ไหนก็ต้องไปศึกษาศาสตร์นั้น
    เราสงสัยพุทธศาสตร์เราก็ต้องมาศึกษาพุทธศาสตร์
    ไม่ใช่เอาวิทยาศาสตร์มาพิสูจน์
    พุทธศาสตร์หรือไสยศาสตร์
    มันพิสูจน์ไม่ได้ มันคนละศาสตร์กัน

    จะเอาวิทยาศาสตร์มาพิสูจน์พระบรมสารีริกธาตุ
    มันจะพิสูจน์ตรงไหนได้
    ถ้าเราอยากรู้อยากเข้าใจ
    เราต้องมาศึกษาข้อมูลต่างๆในเรื่องเหล่านี้
    เมื่อเรายอมรับได้ เราก็เกิดศรัทธา
    เกิดความเชื่อมั่นว่าสิ่งเหล่านี้มีจริง
    มันเป็นเรื่องอจินไตยก็จริง
    แต่เมื่อเราศึกษาเข้าใจแล้ว
    เกิดศรัทธาว่าเป็นเรื่องจริงมีอยู่จริง

    เหมือนเหล็กไหลเราก็ต้องศึกษา
    มันเป็นศาสตร์ ศาสตร์แต่ละศาสตร์
    ไม่ใช่ว่าเราศึกษาศาสตร์เดียวแล้วจะรู้รอบ
    เราจะต้องศึกษาและยอมรับศาสตร์แต่ละศาสตร์
    คำว่าไสยศาสตร์คือสิ่งเร้นลับ
    ไสยศาสตร์เกิดมาตั้งแต่ปรโลกแล้ว
    ไม่ใช่เพิ่งมา เกิดวันสองวันนี้
    ยุคสมัยนี้จิตใจมนุษย์มันเสื่อม
    ของเดิมมันมีอยู่แล้วเราพัฒนาไม่ทัน
    สิ่งที่ไม่มีตัวตนสิ่งที่มองไม่เห็น สิ่งศักดิ์สิทธิ์
    เช่นเหรียญนี้ขลัง เรามองเห็นหรือขลังเพราะอะไร
    พระสมเด็จที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นเพราะอะไร
    นั่นแหละสิ่งที่เรามองไม่เห็นไม่รู้มันก็เป็นไสยศาสตร์
    สิ่งที่มองไม่เห็นตัวเป็นไสยศาสตร์
    แม้แต่เขาเสกของเข้าท้องเรา
    เราไปเอ็กซ์เรย์ดูก็ยังไม่เห็น
    เรื่องไสยศาสตร์
    วิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถเข้าถึงได้ตรงนั้น
    เราพัฒนายังไม่ใกล้เคียงกับเขาเลย
    ไสยศาสตร์มีมาตั้งกี่พันล้านปี
    เราจะไปพัฒนาทันได้อย่างไร ไปไม่ถึงหรอก
    มนุษย์เราทุกวันนี้ศึกษาสิ่งแวดล้อมได้แค่หยิบมือเดียว
    มนุษย์เราศึกษาอวัยวะมือเราแค่มือเดียว
    ก็เขียนเป็นตำราเป็นหนังสือได้เป็นกอบกำ
    ยังเอาความรู้นั้นมาขายเป็นสิบยี่สิบล้าน
    มันไม่ใช่เรื่องธรรมดา
    เราต้องศึกษาค้นคว้าทำความเข้าใจ
    ในเรื่องต่างๆให้ชัดเจนเข้าถึงเรื่องนั้นๆให้ถ่องแท้


    หลวงพ่อภรังสี
    วัดภูพลานสูง
    อ.นาจะหลวย จ.อุบลราชธานี

    9@Phonlee, 4 กันยายน 2018
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ตุลาคม 2024
  3. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,891
    ค่าพลัง:
    +4,720
    (ปักหมุดที่36) หน้า60 #ลำดับ1181
    :eek::eek::eek::eek::cool::cool::cool::cool::cool:

    เรื่องเล่าจากพันทิปอ่านแล้วกลายเป็นปริศนา

    "ขอเกาะกระเเส พญานาค หน่อยนะครับ
    อยากเสนออีกข้อมูลที่ให้ไปคิดลองกันดู"

    ข้อมูลที่จะเสนอนี้ ตัวกระผมไม่ได้เป็นคนเห็นเอง
    เเต่เอามาจากคำบอกเล่าของคนในครอบครัว
    ที่ยืนยันว่าเขาเห็น เเละเป็นเรื่องธรรมดา
    ไม่ต้องเสียเวลามาพิสูจน์ ให้มันเหนื่อย
    เพราะถึงพญานาคมาอยู่ตรงหน้า
    มีเครื่องมือพันล้าน ก็ตรวจจับไม่ได้
    เเต่ก็แปลกที่หลายคนที่อ้างว่าเห็น
    ก็มักจะเห็นสิ่งเดียวกันอย่างมีนัยยะสำคัญ

    เข้าเรื่องเลย การเห็นสิ่งเหล่านี้ต้องอาศัย
    ทิพย์จักษุ (เขาว่ามาอย่างนั้น)
    เป็นความสามารถที่มนุษย์สามารถพัฒนาได้(ยกเว้นผมมั้ง)
    ซึ่งคนที่มองเห็น ก็ไม่จำเป็นอะไรเลย
    ที่จะต้องไปถึงแม่น้ำโขง เพราะ
    แหล่งน้ำที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติก็มักจะมีพญานาคทั้งนั้น ขึ้นอยู่ว่ามากน้อย เป็นชนิดไหน ชั้นไหน
    และพญานาคสามารถขึ้นมาบนบก เลื้อยผ่านหน้าบ้านเรา
    บางตนก็มีขาสามารถเดินได้ โดยไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้เลย
    พอเป็นที่สรุปได้เบื้องต้นว่า
    ไอ้ที่เห็นในคลิปวีดีโอต่าง ๆ น่าจะเป็นตัวอย่างอื่น
    จากที่ผมพยายาม ค้นคว้ามา ก็จะมาลงเอยที่คำว่า โลกทิพย์ หรือ มิติคู่ขนาด ถึงตรงนี้เเล้วก็ไม่รู้จะไปต่อได้ยังไง เกินวิสัย เเต่ถ้าสิ่งเหล่านี้(โลกทิพย์ หรือ มิติคู่ขนาด)มีอยู่จริง เขาก็อยู่ในโลกของเขา เราก็อยู่ในโลกของเรา ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันทางตรง ถึงจะรู้จะเห็นชีวิตเราก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง วงการวิทยาศาสตร์ก็เหมือนเดิม ส่วนตัวเราก็ต้องทำงานต่อสู้ดิ้นรนเหมือนเดิมอีก มิได้เจอท่านพญานาคแล้ว อ้อนวอนขอ
    แล้วท่านจะทำให้เราสำเร็จสมหวังในชีวิตได้
    เพียงเเต่รู้เห็นแล้วก็อาจจะได้เพื่อน (ต่างมิติ)
    ที่มีมิตรไมตรีเพิ่มขึ้นมา
    ให้ละลึกว่าตายแล้วไม่สูญเท่านั้นเอง

    แต่ผมก็เชื่อนะว่า คนที่เห็น ก็เห็นจริง อยู่ที่ไหนก็เห็น
    แต่เห็นเเล้วก็คือเห็นเป็นเรื่องธรรมดา
    มิได้ไปจุดธูปทาแป้งขอหวย ยังสถานที่แปลกๆต่างๆ
    และสำคัญว่าเป็นเรื่องอภินิหารแต่อย่างใด

    ที่มา....พันทิปดอทคอม
     
  4. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,891
    ค่าพลัง:
    +4,720
    (ปักหมุดที่37) หน้า60 #ลำดับที่1197
    เรื่อง เส้นผมบังภูเขาได้อย่างไร

    ;);););););););):oops::oops::oops:

    อจ.นพ(บุรุษไร้เงา) โพสต์

    เรื่องนามธรรมปกติไม่เล่าเลยดีที่สุด....
    ถ้าไม่มีคนถามหรือไม่เป็นประโยชน์ทางธรรมยิ่งไม่ควรเล่า...
    บางเรื่องเรารู้ของเราเองคนเดียวก็พอ...
    แต่ถ้าพอขำๆไม่ว่ากัน พอฮาๆ
    ทำไมถึงได้กล่าวเช่นนี้

    เพราะกลจิตเป็นเพียงมายาจิตชนิดหนึ่ง
    แม้เห็นได้ด้วยตาเปล่าก็ยึดไม่ได้
    ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงในระดับ หลับตาเห็น
    หรือครึ่งหลับครึ่งตื่นแล้วเห็นหรือแว๊บๆเห็น
    หรือทำสมาธิแล้วเห็น...ยิ่งยึดไม่ได้เลย
    ทำได้แค่เพียง พอฮาๆขำๆ
    เพราะไม่พูดบ้างก็ไม่ได้
    เด่วจะกลายเป็นเก็บกด ๕๕๕

    ไม่ยึดคือ ในเวลาปกติ ไม่สนใจเลยนั่นหละ
    คือเหมือนว่า ไม่เคยเกิดขึ้นในระบบจักรวาลนี้


    พุทธฯเราเรียนเข้าหาอนัตตาเพื่อให้หมดอัตตาตัวตน
    ถ้าเราเข้าถึง พวกอนัตตา ซึ่งเป็นนามธรรม ต่างๆได้
    ถือว่าเราได้เปรียบ แต่การได้เปรียบนี้หละ กลับกลายเป็นอัตตาได้
    อย่างคาดไม่ถึง คือเพราะเผลอไปดึงเข้ามาเป็นตัวตน
    หรือสร้างอนัตตาเหล่านั้นให้เกิดเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาด้วยการ
    การไม่รู้จักการปล่อยรู้ ไม่รู้จักการปล่อยวาง
    และไม่ตัดการไปรู้ นั่นหละ อนัตตามันเลยย้อนเป็นอัตตา
    สร้างเป็นตัวตนขึ้นมาได้อย่างหนึ่งนั่นเอง

    ถ้าเราเผลอไปสร้างไปสนใจตรงนี้
    มันจะขวางกระบวณการ
    ไปรู้ต้นตอแห่งการเกิดได้อย่างคาดไม่ถึง

    จะยกตัวอย่างเปรียบให้ฟัง
    เหมือนเรารู้ว่า นี่ต้นมะนาวรู้จากสัญญาอาจจะได้ยินมา
    อ่านมา รู้ว่ารสชาติมันเป็นอย่างไร มะนาวพันธ์อะไร
    มันมีหนามนะ ลูกมันสีเขียวๆนะ เวลาสุกก็ออกสีเหลืองนะ
    มันมีประโยชน์อะไรบ้าง
    มันเอาไปทำอะไรได้บ้าง...แต่เราจะไม่รู้ว่า
    มันเกิดได้อย่างไร
    หรือพูดง่ายๆว่า
    เราจะรู้แต่ ต้นมะนาว ที่มันเกิดไปแล้ว
    จากสายตาที่เรามองเห็น
    หรือการระลึกได้ถึงต้นมะนาว...ถ้ายังเริ่มๆเกท
    แต่น่าจะเกทได้มากว่า ก็ มาต่ออีก

    ในทำนองเดียวกัน เราเห็นผีตนหนึ่งเป็นนามธรรม
    จัดเป็นอนัตตา หรือ เราเห็นอะไรก็ตาม ไม่ว่าดีหรือไม่ดี
    ทางนามธรรม ถ้าเราไม่เผลอไปสร้างให้มีตัวตน
    เราควรจะเล่าได้ว่าเหตุที่เราเห็นแบบนั้นได้
    เกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง ด้วยตัวเราเอง
    เหมือนเราควรจะรู้ว่า ต้นมะนาวมันเกิดได้อย่างไร


    ถ้าเราเผลอไปสร้างให้มีตัวตน
    เราจะไปรู้แต่กระบวณการนามธรรมนั้นที่มันเกิดไปแล้ว
    ก็คือ รู้เห็นเริ่มต้นจากการเป็นภาพผีตนนั้น เรียกถูกว่าผีเหมือนกัน
    จากการได้ยิน ได้ฟัง หรือได้อ่านมา เหมือนที่กำลังมอง
    หรือระลึกถึงต้นมะนาว
    และไปรู้รายละเอียดผีตนนั้น เรียกว่าผีอะไร ระดับไหน
    เรื่องราวต่างๆจากสภาพแวดล้อมที่ผีตนนั้นปรากฏตามสถานที่ต่างๆ
    ประเภทของผีที่เป็นชื่อเรียกเฉพาะ
    กำลังบุญ ฯลฯ
    แต่เราก็จะไม่รู้ว่า
    ภาพผีนั้นเกิดได้เพราะอะไร
    เหมือนที่ไม่รู้ว่า ต้นมะนาวมันเกิดได้อย่างไร......

    ซึ่งมันช่าง อิสสะบังเอิญเหลือเกินว่า
    มันช่างสอดคล้อง กับเรื่อง รัก โลภ โกรธ หลง
    เหลือเกินว่า เมื่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งมันเกิดมาแล้ว
    เหมือนเรากำลังมองต้นมะนาวหรือระลึกถึงต้นมะนาว หรือ
    เรากำลังเห็นภาพนามธรรมขึ้นมาแล้วหรือระลึกถึงภาพนามธรรมอยู่
    ถ้าเรามัวไปปรุงต่อ ไปสร้างเรื่องต่อ
    ด้วยการไม่รู้จักการปล่อยตัวไปรู้ ไม่รู้จักการปล่อยวางเรื่องเหล่านั้น
    และไม่ตัดการไปรู้เรื่องเหล่านั้น
    ก็จะเหมือนเราไปรู้ในกระบวณการที่ มันเกิดไปแล้ว
    มันได้เกิดมีขึ้นแล้ว เหมือนเรารู้เรื่องต้นมะนาว
    เหมือนเราไปรู้ภาพนามธรรม
    แต่เรากลับไม่รู้ว่า รัก โลภ โกรธ หลง
    มันเกิดได้อย่างไรนั่นแหล


    ปล. นี่หละ เค้าเรียกว่า เส้นผมบังภูเขา.......
    และมันบังภูเขาได้อย่างไร ^_^ พอเกทเนาะ

    อจ.นพ(บุรุษไร้เงา) โพสต์
    7 กันยายน 2518
     
  5. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,891
    ค่าพลัง:
    +4,720
    (ปักหมุดที่37) หน้า61 ลำดับที่#1203
    :oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops:

    เรื่อง "ยุคพระบรมสารีริกธาตุปรากฏ"

    ผู้เขียนเรียนถามหลวงพ่อว่า
    ทำไมยุคนี้จึงมีพระบรมสารีริกธาตุเกิดขึ้นมากมาย
    หลวงพ่อได้เมตตาอธิบายให้ผู้เขียนฟังว่า
    ยุคพระบรมสารีริกธาตุปรากฏก็คือยุคเราเนี่ยแหละ
    ยุคนี้เป็นยุคศิวิไลซ์
    เป็นยุคที่พระบรมสารีริกธาตุมาปรากฏมากที่สุด
    ถ้าเราย้อนไปในอดีต
    เมื่อประมาณสองพันกว่าปียังไม่เคยมีปรากฏ
    แต่มาในยุคนี้พระบรมสารีริกธาตุปรากฏมากมาย
    และทุกสิ่งทุกอย่างก็มาเกิด
    เมื่อพระพุทธองค์มาอุบัติมาเกิดขึ้นทุกสิ่งก็มาเกิด
    ก่อนที่พระพุทธองค์จะมาบังเกิด
    สิ่งของที่จะมารองรับก็มาเกิดก่อนล่วงหน้า
    เป็นการปูทางไว้ก่อน
    เช่นพระนารายณ์ก็มาเกิด พระพรหมก็มาเกิด
    พระแม่ธรณีก็มาเกิด สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ก็มาเกิด
    พระบรมสารีริกธาตุก็มาเกิดมา
    เพชรพญานาคเกิด ไม่เกิดคนก็สร้างมาให้เกิด
    หลวงปู่โมคคัลลานะก็มาเกิดโดยบารมี
    หลวงพ่อสเก็ตซ์ภาพหลวงปู่โมคคัลลานะ
    ภาพหลวงปู่โมคคัลลานะก็เกิด
    อดีตผ่านมาแล้วตั้ง ๒พันกว่าปี
    พอสเก็ตซ์ภาพท่านก็เกิด
    เกิดโดยบารมีของหลวงปู่โมคคัลลานะ
    ด้วยศรัทธาที่หลวงพ่อมีต่อพระโมคคัลลานะ
    ต่อมาพระสรีรังคาร
    พระบรมสารีริกธาตุข้อพระหัตถ์ก็เกิด ตรงนี้เป็นหลัก
    เพชรพญานาคเกิด มันบันดาลให้เกิด ไม่เกิดก็สร้างขึ้นมาให้เกิด
    เพราะพระบรมธาตุเหล่านี้ทุกองค์ล้วนแล้วแต่เป็น องค์เอก คือข้อพระหัตถ์ก็ใหญ่ พระเขี้ยวฝางก็ทั้งองค์พระพุทธโลหิตก็ทั้งองค์ล้วนแต่เป็นองค์เอกทั้งนั้น
    ในยุคนี้ถ้าพระบรมสาริริกธาตุของพระพุทธองค์ยังบังเกิดขึ้น สร้างขึ้นมาสวดขึ้นมาก็เกิดขึ้น ฯลฯ
    ศาสนาอยู่ได้เพราะพวกเราปฏิบัติบูชารักษาไว้
    บางคนพูดว่าแล้วพระพุทธเจ้าทำไมไม่เทศน์
    พระองค์จะเทศน์ทำไม
    ในเมื่อพระไตรปิฎกมีอยู่แล้ว
    พระองค์เทศน์มาแล้วตั้งสองพันกว่าปีที่ผ่านมา
    พระพุทธเจ้าไม่เคยหยุดเทศนาเลย
    พระองค์เทศนามาตลอด
    หลวงพ่อก็อาศัยหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์มีเพียบพร้อม
    ดังนั้นพระบรมสารีริกธาตุจึงปรากฏในยุคนี้
    ยุคศิวิไลซ์ยุคใดก็ตาม สมมุติว่ายุคนี้มันหมดไป
    ต่อไปยุคใหม่มีพระบรมสารีริกธาตุอุบัติเกิดขึ้น
    นั่นคือบารมีของพระพุทธองค์มาปรากฏขึ้น
    เพื่อประกาศพระศาสนาของพระองค์ต่อไป อีกเป็นช่วง ๆ

    บทความจาก
    วัดภูพลานสูง อุบลราชธานี


    9@Phonlee โพสต์ 8 กันยายน 2018



     
  6. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,891
    ค่าพลัง:
    +4,720
    (ปักหมุดที่37) หน้า61 ลำดับที่#1215
    :rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes:

    เรื่อง สัตบงองอาจบาตรพญานาค
    สัตบงองอาจบาตรพญานาคที่หลวงพ่อได้มา
    ก็เป็นเรื่องแปลก
    อยู่ๆก็มีโยมชื่อสันติอยู่ที่จังหวัดระยองเขานำมาถวาย
    ของชิ้นนี้เป็นของคนรุ่นเก่าแก่
    เป็นคนมอญอยู่ข้างๆบ้านโยมสันติ

    วันหนึ่งโยมสันติไปเห็นเข้าเกิดอยากได้ขึ้นมา
    ร้องห่มร้องไห้จะเอาให้ได้ของเก่าชิ้นนี้

    เจ้าของเขาถามว่าจะเอาไปทำอะไร
    คุณโยมสันติตอบว่าจะเอาไปถวายวัด
    จะไปถวายวัดทำไม
    ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่อยากได้เอาไปถวายวัด
    คุณกล้าซื้อหรือราคา ๓ แสน
    โยมสันติตอบว่าไม่มีเงิน
    ผู้ขายยื่นข้อเสนอให้ผู้ซื้อยืมเงิน ๒ แสน
    ยืมเงินมาซื้อของเขา โยมสันติก็เอา

    พอคุณโยมเอามาไว้ที่บ้าน เขาบอกว่า
    มีอะไรก็ไม่รู้บอกเขาให้เอาไปถวายวัดภูพลานสูงให้ได้
    เขาไม่เชื่อไม่ยอมเอาไปถวายวัด
    เขาโดนพญานาคลงโทษพาตัวเขาไปนอนแช่น้ำทะเล๗ วัน ญาติ ๆ ไปตามเจอพามาอาบน้ำอาบท่าเสร็จ
    เขาจึงบอกญาติๆว่า
    พญานาคบอกให้เอาบาตรไม้นี้ไปถวายวัดภูพลานสูง
    เขาไม่รู้ว่าเป็นสัตบงองอาจบาตรพญานาค
    เขานั่งรถตระเวนหาวัดภูพลานสูงหลงไปถึงนครสวรรค์ สอบถามเส้นทางจึงวิ่งกลับมาที่วัดภูพลานสูง
    อำเภอนาจะหลวย จังหวัดอุบลราชธานี
    เมื่อเขาถวายหลวงพ่อเป็นพุทธบูชาแล้ว

    หลวงพ่อจึงบอกเขาว่า
    นี่คือสัตบงองอาจบาตรพญานาค
    พญานาคสร้างถวายพระพุทธองค์
    เป็นบาตรไม้แกะสลักสวยงามติดกระจกฝังมุขสวยงาม
    เป็นของโบราณเก่าแก่

    บทความจาก
    วัดภูพลานสูง อุบลราชธานี


    (9@Phonlee, 10 กันยายน 2018)

     
  7. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,891
    ค่าพลัง:
    +4,720
    (ปักหมุดที่39) หน้า62 ลำดับที่ #1229
    :oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops:

    เรื่อง ข้าวสารดำ


    ข้าวสารดำเชื่อกันว่าศักดิ์สิทธิ์
    เมตตามหานิยม เทวาอารักษ์
    แม้แต่สัตว์ต่างๆ ก็ไม่กล้ารบกวน

    การได้มาซึ่งข้าวสารดำ
    อาจเกิดจากการฝันหรือเทพนิมิต
    เชื่อว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลใจ
    ปรารถนาให้ไปขุดค้นเพื่อนำมาบูชา


    ------------------------------

    (บ้านพุทธคุณ มหานิยม(ใหญ่)

    บันทึกวันที่ 12 เมษายน 53
    วันนี้จะขอเล่าถึง ข้าวสารดำ)


    ในความเชื่อที่ได้อ่านมาจากหนังสือ กายสิทธิ์ “ยุคอภิญญา” ที่เขียนโดยอาจารย์ศุภรัตน์ แสงจันทร์

    อนุภาพข้าวสารดำแก้คุณไสย
    อีกทั้งรับประทานแก้โรคปัจจุบันและโรคที่ไม่ทราบสาเหตุปรากฏว่าสิ่งที่เป็นอยู่หายไปอย่างน่าอัศจรรย์


    หลังจากที่ผมได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว
    ผมได้อธิษฐานขอเมื่อปลายเดือนเมษายน 2552
    จนกระทั้งเดือนตุลาคม ปีเดียวกันนี้
    ผมได้ข้าวสารดำโดยบังเอิญพบที่บ้านผมเอง
    จำนวนหนึ่งได้นำมาเป็นมวลสาร
    ผสมสร้างพระผงจักรพรรดิที่ผมทำแจกและถวายพระ
    เมื่อเห็นว่าเหลือน้อย จึงอยากจะออกตามหาบ้าง


    ช่วงสงกรานต์ว่าง คืนวันที่ 11 เมษายน 53
    ผมได้ทำการอธิษฐานขอเพื่อนำมาช่วยคนที่โดนคุณไสย
    และนำมาผสมสร้างพระต่อไป


    และได้ทำการเสี่ยงทายเหรียญ หากออกหัว สามครั้งติดกัน เป็นการยืนยันว่าเดินทางไปหาครั้งนี้จะได้ข้าวสารดำกลับมา ผลคือโยนได้หัวสามครั้งติด

    วันรุ่งขึ้นผมได้เดินทางไปอยุธยา
    กราบหลวงปู่ทวดที่วัดแค
    และเดินลัดเลาะไปหาวัดข้าวสารดำ


    ระหว่างเดินเข้าไปนั้นถามลุงคนหนึ่ง
    แกได้ชวนคุยแล้วก็พาไปวัดข้าวสารดำ
    ซึ่งวัดที่ว่ามีเพียง พระพุทธรูป สามองค์
    แล้วก็ เพิงมุงหลังคาสังกะสีเทพื้น
    ขนาด 2 เมตรคูณ 4 เมตรเท่านั้น


    ลุงแกเล่าให้ฟังว่า แกไม่รู้ประวัติอะไรนักหรอก
    รู้แต่ว่าพี่ชายลุงสร้างไว้บอกว่าเป็นวัดข้าวสารดำ


    แล้วลุงแกก็เดินเข้าไปหยิบข้าวสารดำมาให้ผม 10 กว่าองค์ได้ หลังจากดูแกก็บอกว่า มอบให้ผม คุยกับแกสักพักใหญ่ ๆ
    ผมก็ถึงเวลาเดินทางกลับ
    ตามความรู้สึก สถานที่แห่งนี้ที่เรียกว่า วัดข้าวสารดำ
    คงจะอยู่ในสมัยอยุธยา หรือก่อนหน้านี้
    ส่วนข้าวสารดำนั้นจะสร้างขึ้นในสมัยอยุธยาหรือไม่
    ผมไม่ทราบ รู้สึกเพียงแต่ว่า
    ที่แห่งนี้ยังมีอีกมิติหนึ่งที่ซ้อนอยู่
    และสิ่งที่สร้างข้าวเหนียวดำนี้
    น่าจะเป็นข้าวของเมืองบังบด
    ทำให้เรื่องราวโยงใยถึงปู่
    ซึ่งผมเรียกว่าปู่ ท่านอายุ 85 ปีแล้ว
    ยังแข็งแรงเดินไปมาได้สบาย
    เมื่อตอนที่ผมกลับไปเชียงคาน สร้างพระบาทสี่รอยนั้น
    ผมนำข้าวสารดำไปด้วย
    ปู่บอกเคยมีคนเล่าว่า ทุกเดือนห้า
    ที่แห่งหนึ่ง(ขออภัยจำไม่ได้ว่าที่ไหน)
    ผีเมืองบังบดจะทำสร้างหรือว่าเก็บเกี่ยวข้าวสารดำ
    (เมืองบังบดกับเมืองลับแล ประเภทเดียวกัน)
    ผมจึงเข้าใจว่า
    ที่ลุงบอกว่าจะเจอข้าวสารดำตอนฝนตกนั้น
    น่าจะมาจากชาวเมืองบังบดได้ทำนา
    และข้าวสารได้หล่นลงพื้นดิน คือมิติปัจจุบัน
    เพราะระหว่างเดินผ่านวัดแค รู้สึกว่าตรงข้างๆโบสถ์
    จะมีประตูมิติอยู่ ทั้งขาไปและขากลับ
    จริงเท็จแค่ไหนไม่ทราบเพียงแค่รู้สึกอย่างนั้น
    ไว้ผมจะกลับไปหาคำตอบอีกครั้งหนึ่งเมื่อถึงหน้าฝน


    ขอขอบคุณ
    บ้านพุทธคุณ มหานิยม(ใหญ่)
    บันทึก 12 เมษายน 53


    โพสต์โดย9@Phonlee, 11 กันยายน 2018


    (ปักหมุดที่40) หน้า62 ลำดับที่ #1230
    :rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes:

    เรื่อง เส้นผมบางตา กับ มารผจญ

    *บ่อยครั้งผมก็ถูกเส้นผมบางตา*


    อย่างกรณีเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นข้างล่างนี้
    ไม่ทราบว่าเข้าข่าย “มารผจญ”
    หรือเป็นเพราะ "วิบากกรรม"
    หรือมันก็อันเดียวกัน

    ...เช้าวันเสาร์ที่ 8-9-61
    ผมจะไปร่วมงานบุญครบรอบ 79 ปี

    ลพ.มาลัย วัดบางหญ้าแพรก สมุทรสาคร

    ขณะที่เตรียมตัวจะออกจากบ้าน
    พอถึงหน้าบ้านเห็นน้ำในบ่อปลาคร๊าฟ
    ...เหลือน้ำแค่ 2 ฝ่ามือ


    ผมอุทานเบาๆ...งานเข้าละสิ
    วันไหนไม่เกิด ดันเกิดเอาวันนี้
    แล้วผมจะได้ไปงานบุญไหมเนียะ


    จึงรีบค้นหาสาเหตุที่น้ำหายเกือบเกลี้ยง
    ทีแรกคิดว่าก้นบ่อหรือผนังรอบๆรั่วซึม


    คงเป็นงานช้างที่จะซ่อมแซมเสร็จในวันนี้
    หรือถ้าเป็นเพราะข้อต่อต่างๆ...คงพอเสร็จทัน
    จึงทำใจไว้แล้ว “อดไปงานลพ.แน่นอน”


    ใช้เวลาคลำหาอยู่ร่วมชั่วโมง
    สุดท้ายไปเจอสาเหตุกล้วยๆ
    (สู้อุตส่าห์คิดได้ตอนสิ้นหวัง)
    เหมือน *เส้นผมบังภูเขา*
    ที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน


    คือตะไคร่น้ำบนขอบบ่อกรอง+ใบไม้
    กลายเป็นทางเดินน้ำไหลออกนอกบ่อตลอดแนว
    บังเอิญเป็นผนังบ่อกรองด้านที่มองไม่เห็น


    น้ำล้นออก...ตั้งแต่เย็นถึงสว่าง
    เหลือน้ำในก้นบ่อเพียง 2 ฝ่ามือ


    พอได้ให้ปลาคร๊าฟ 9 ชีวิต
    ตัวขนาดโลครึ่ง ถึง 2 โล
    ว่ายไปมาพยุงชีวิตรอดได้ในค่ำคืนนั่น
    ต่างกับเจ้าของปลา...นอนหลับสบายๆ


    ....พอแก้ปัญหาบ่อปลาเสร็จ
    ....เติมน้ำไปครึ่งบ่อชั่วคราว


    ผมรีบเร่งขับรถออกจากหมู่บ้าน
    เวรกรรม...ไปเจออุปสรรคระลอกสอง
    รถติดในซอยนานอีก..นานแสนนาน
    ทั้งที่ปกติซอยนี้รถไม่เคยติดเลย


    ฮึกๆ...ผมแทบจะเลี้ยวรถกลับบ้าน
    ใจหนึ่ง...กลัวว่าจะเป็นลางบอกเหตุ
    สุดท้าย สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินทางต่อ


    "แม้น้ำเชี่ยวกราดก็จะฝืนพายเรือไปให้ได้"

    ไปถึงงานบุญลพ.ประมาณ11.00 น.สายไปจริง
    ....ผู้มีจิตศรัทธาล้นหลาม


    แม้มาถึงงานช้ามาก
    แต่วันนั่นเป็นวันที่ผมประจักษ์ได้ว่า...

    "หลวงพ่อมาลัย"เจโตปริยญาณ
    หยั่งรู้วาระจิตคน...ผมไม่สงสัยเลย


    สุดท้าย...ผมขอรบกวนถาม
    ท่านอจ.นพว่า...เหตุการณ์ที่เล่ามา
    เข้าข่าย “มารผจญ” หรือไม่


    บุรุษไร้เงา(อจ.นพ)โพสต์
    ส่วนตัวไม่ได้เรียกมารผจญ
    เรียกว่า การทดสอบ กำลังใจ...
    เป็นธรรมดา ถ้ากำลังจะทำดี มักจะเจอ...
    เจอแบบนี้ได้ ทางปฏิบัติถือว่าดี...


    9@Phonlee, 11 กันยายน 2018


    (ปักหมุดที่41) หน้า61 ลำดับที่ #1213

    :cool::cool::cool::cool::cool::cool::cool::cool::cool:

    เรื่อง ประสบการณ์หลวงพ่อมาลัย
    **เจโตปริยญาณ**หยั่งรู้วาระจิตคน


    เมื่อวานผมได้มีโอกาสไปร่วมงานบุญ
    ครบรอบ 79 ปี หลวงพ่อมาลัย อุทโย
    วัดบางพญ้าแพรก จ.สมุทรสาคร
    เกจิอาจารย์ชื่อดังในด้านหยั่งรู้วาระจิตคน

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    ช่วงเวลาเที่ยงๆ...
    หลังจากผมทำบุญไหว้พระตามจุดต่างๆ
    รู้สึกหิวขึ้นมา อยากเข้าแถวรับข้าวสักจาน
    ...แต่ไม่สะดวกเบียดเสียดกับผู้คนจำนวนมาก
    คงทำได้แค่หยิบกล้วยทอด 1 ถุง
    ...4-5 ชิ้นมารองท้องกับกาแฟเย็น 1 แก้ว

    พอบ่ายๆ ได้เวลาญาติโยมผู้ศรัทธา
    เข้าไปกราบขอพรหลวงพ่อเป็นกลุ่มๆ

    เมื่อหลวงพ่อประพรมพุทธมนต์เสร็จ
    ...กลุ่มแรกก็ลุกออกไป
    ...ผมอยู่ในกลุ่มที่ 2
    มีคนรวมๆประมาณ 15 คน
    พอผมก้มลงกราบหลวงพ่อมาลัย
    ขณะที่เงยหน้าขึ้นมา
    เห็นลพ.มองมาที่ผม
    ...ยิ้มด้วยแววตาที่เปี่ยมด้วยความเมตตา
    ถามผมว่า "ทานข้าวอิ่มหรือยัง?"

    ผมจึงตอบไปตามความจริงว่า...
    "ข้าวยังครับ...แต่ทานขนมไปแล้ว"

    ความน่าฉงนใจอยู่ตรงที่ว่า...
    ญาติโยมกลุ่ม1 กับกลุ่ม2
    รวมกันน่าจะกว่า 30 คน
    ทำไมลพ.มาลัย ท่านเจาะจงถามผม

    ...ท่านคงทราบดีว่าทุกคนอิ่มกันหมดแล้ว
    ...ยกเว้นผมที่รองท้องด้วยกล้วยทอด

    [​IMG]
    (หลวงปู่ใหญ่ พระพุทธรูปเก่าแก่)


    เรื่องที่2ที่จะเล่านี้เกิดขึ้นเมื่อ 2 ปีที่แล้ว
    น้องสะใภ้(แซ่ลิ้ม)ไปวัดบางหญ้าแพรกครั้งแรก


    ได้มีโอกาสไปกราบขอพร ลพ.มาลัย
    ท่ามกลางญาติโยมที่นั่งอยู่ 20-30 คน

    ช่วงหนึ่งลพ.มาลัยท่านเปรยออกมาว่า...
    “คนแซ่ลิ้ม มาด้วยเหรอ”

    น้องสะใภ้สะดุ้ง...นั่ง*งง*สักพัก
    เพื่อความแน่ใจ...จึงหันไปดูรอบๆ

    ...ว่าหลวงพ่อหมายถึงตนเองหรือไม่ ?

    หลวงพ่อรีบชี้ไปที่น้องสะใภ้บอกว่า...

    “โยมนั่นแหละ..นั่นแหละ”

    9@Phonlee โพสต์
     
  8. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,891
    ค่าพลัง:
    +4,720
    เหตุภัยพิบัติเกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลก


    ผู้เขียนได้เรียนถามหลวงพ่อว่าทำไมจึงเกิดภัยพิบัติขึ้นทั่วโลก หลวงพ่อบอกว่าเหตุที่ภัยธรรมชาติบังเกิดขึ้นทั่วโลกในปัจจุบัน เกิดขึ้นด้วยอำนาจของสุริยะธาตุ เกี่ยวเนื่องด้วยสุริยะธาตุปรากฏ มันจะเกิดดินโคลนถล่ม แผ่นดินไหว แผ่นดินยุบ น้ำท่วมไปทั่ว ที่ไม่เคยท่วมก็ท่วมขนาดที่สูง ๆ น้ำยังท่วม นี่แหละคืออำนาจของพระพุทธองค์ ผลสุดท้ายจะเหลือแค่เพียง ๓ ร่มโพธิ์ศรี คือถ้าใครยึดมั่นในพระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์ ศรัทธาเชื่อมั่นในพระพุทธองค์ สิ่งเหล่านั้นก็จะเหลือ ยกตัวอย่าง ที่ภาคใต้ดินโคลนถล่ม เจ้าของบ้านบอกว่าจะให้ลูกบวชในพระพุทธศาสนาดินโคลนที่ถล่มก็แยกเลยบ้านเขา ไป เขาก็รอดพ้นจากภัยพิบัติ อีกรายอธิษฐานว่าถ้าบ้านเขาไม่เป็นไร เขาจะจัดผ้าป่าไปทอดไปทำบุญถวายเขาก็ไม่เป็นอะไร นี่พระพุทธองค์ประทานให้เป็นตัวอย่างแก่สายตาชาวโลกว่า นี่คือพระพุทธองค์ให้ ในยุคนี้แค่น้อยนิดพระพุทธองค์ยังให้อย่างเต็มที่ เหมือนในอดีตพระพุทธองค์ประกาศศาสนาใหม่ๆ ในยุคนั้นพระองค์ต้องประกาศศาสนาให้เร็วที่สุด พระองค์ประสงค์สงเคราะห์มวลมนุษย์ให้พ้นทุกข์ ฉะนั้นในสมัยพุทธกาลเมื่อพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมทุกแห่ง คนมักจะสำเร็จกันเร็ว เพราะพระพุทธองค์ประสงค์จะนำพามนุษย์ทั้งหลายให้ข้ามพ้นวัฏสงสาร ในยุคนี้ก็เหมือนกันพระพุทธองค์ต้องการให้พวกเราเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธ ศาสนาให้พากันเตรียมการ เตรียมการรับเสด็จยุวกษัตริย์หลานของพระพุทธองค์ พระองค์ประสงค์จะมอบให้พวกเรา พวกเราขออะไรได้หมดถ้าเราทำงานถวายพระพุทธองค์ เหมือนคนมาขอหลวงพ่อ ขอตำแหน่ง ขอลูกหลานได้หมด หลวงพ่อเป็นผู้ทำงานแทนพระพุทธองค์เป็นผู้มอบให้เมื่อเราได้สำเร็จแล้วก็มา ทำโน่นทำนี่ถวาย นี่คือพระประสงค์ พระองค์มีพระประสงค์ที่จะมอบให้พวกเรา ขอให้พวกเราเตรียมการรับเสด็จยุวกษัตริย์ ถ้าเราไม่เตรียมสร้างถวาย เตรียมการรับเสด็จยุวกษัตริย์หลานพระพุทธองค์แล้ว พวกเราจะถึงซึ่งความวิบัติภัยพิบัติจะเกิดขึ้นวุ่นวายไปหมด แต่ถึงอย่างไรก็ตามด้วยพระบารมีของพระพุทธองค์สามารถควบคุมดูแลให้คนเกิด ศรัทธาสร้างสิ่งต่างๆขึ้นไว้ในพระพุทธศาสนา เช่น สร้างพระพุทธรูป เจดีย์เก่าๆ ก็มีการบูรณะซ่อมแซมขึ้น วัดต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นใหม่ใหญ่โตมโหฬาร ต่อไปในอนาคตเบื้องหน้าเรามองไปที่ไหนจะเห็นพระเจดีย์ สถูป พระพุทธรูปองค์ใหญ่ๆทั้งนั้น มันกำลังจะเกิดขึ้นในยุคนี้ พระพุทธรูปหน้าตัก ๔๐-๕๐ เมตร พระบรมสารีริกธาตุไม่เคยมียุคไหนที่เกิดขึ้นมากที่สุดเท่ายุคนี้ คือในยุคสุริยะธาติปรากฏ ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น เพราะถ้าเราเห็นพระธาตุอุบัติขึ้นที่ไหนมากมาย นั่นคือพระพุทธองค์ยังทรงประกาศพระศาสนาของพระองค์ นั่นคือพระพุทธองค์ประกาศด้วยพระธาตุ พระสารีริกธาตุปรากฏ แต่ด้วยสุริยะธาตุประดิษฐานเป็นประมุขเป็นประธาน คือ ข้อพระหัตถ์เบื้องขวานั่นแหละเป็นองค์เอก ล้วนแต่เป็นองค์เอก พระพุทธองค์บอกว่าล้วนแต่เป็นองค์เอก เช่น พระเขี้ยวฝางก็ทั้งองค์ พระพุทธโลหิต พระสรีรังคารก็ใหญ่ ๆ ทั้งนั้น ข้อพระหัตถ์ก็ใหญ่ ทุก ๆ องค์ล้วนเป็นองค์เอก พระพุทธบาทก็เต็มองค์ รอยพระพุทธหัตถ์ก็เต็มองค์ พระเขี้ยวฝาง พระพุทธโลหิตเป็นพระธาตุที่ยังไม่ถูกเผา เป็นของสด เป็นองค์แทนพระพุทธองค์ ถ้าผู้ใดเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ก็จะทรงประทานให้ทุกอย่างในยุคสมัยนี้

    ขอขอบคุณแหล่งที่มา
    วัดภูพลานสูง อุบลราชธานี

    (หมายเหตุจาก9@)
    “หลวงพ่อภรังสี” ทำนายทายทักนี้น่าจะประมาณ 10ปีที่แล้ว

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤศจิกายน 2024
  9. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,891
    ค่าพลัง:
    +4,720
    (ปักหมุดที่42) หน้า63 ลำดับที่ #1216
    :):););););););):(:(

    เรื่อง ทำเรื่องดีแต่มีมารมาขวาง
    โพสต์ตอบ โดยบุรุษไร้เงา(อจ.นพ)


    แต่ที่ต้องระวังหลักๆ มี ๒ อย่าง
    ซึ่งรู้แค่นี้ก็ครอบคลุมตามตำราได้
    อย่างแรก(ปฎิบัติ ปน ตำรา)
    ที่ตำราเรียกว่า. ๑.เทวปบุตรมาร
    เป็นระดับเทวดาชั้นที่ ๕ ที่มาขวางการสร้างความดี
    เพราะเค้าติดเรื่องบารมีตรงที่ได้
    ขวางคนที่ทำดี (คือถ้าคนนั้นผ่าน จะทำดีเค้า
    จะได้อานิสงส์ด้วย) ส่วนนี้เป็นเหตุ
    ที่ทำให้เป็นเทวปบุตรมารนั้นเอง
    และ ๒. กระแสแหย่ หรือกระแสจร
    หรือ เรียกว่าวิบาก ก็ได้ ซึ่งเป็นกระแสที่จิตเคยมีการวกวน
    ร่วมกันมาตั้งแต่อดีต หรือปัจจุบัน
    ที่จะมาดี มาขวาง มายุ มาแหย่ มาส่งเสริม
    มาหนุน มาหลอก มาไม่ดี. ซึ่งก็รวมข้อที่ ๑ ไว้ด้วย.

    ถ้าทางปฎิบัติ. เราจะเรียกว่า
    กระแสจร หรือวิบาก เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
    ส่วนเหตุมาจากอดีต ปัจจุบันก็แล้วแต่
    ส่วนมากจะเฉยๆ ไม่สนทิ้งไป อโหสิไป ทำบุญให้ไป
    หรือยอมรับไปแล้วแต่กรณี. ^_^


    บุรุษไร้เงา, 12 กันยายน 2018

    ****************************************
    (ปักหมุด44) หน้า62 ลำดับที่ #1252
    :oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops:

    เรื่อง ทำอย่างไรจึงสามารถมองเห็นพญานาคได้


    มีข้อสรุปที่พอจะทำความเข้าใจได้ 2 ประเด็น
    ที่ทำให้คนเข้าไปสู่ภพภูมิพญานาค
    หรือมองเห็นพญานาค ได้แก่
    ด้วยการปฏิบัติธรรมอย่างเด็ดเดี่ยว และด้วยกรรมเก่า

    1. การบำเพ็ญสมณะธรรม
    พญานาคเป็นภพภูมิที่ซ้อนทับอยู่ระหว่างโลกมนุษย์ สวรรค์ บาดาล ฯลฯ
    ที่สามารถเข้าถึงได้ ในข้อวิธีแรกนี้ หมายถึงการถือศีล
    และบำเพ็ญสมณะธรรมให้ถึงพร้อม

    อย่างพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอริยะสาวกเจ้า
    พระอรหันต์เจ้า พระอริยบุคคล และอริยบุคคลทั่วไป ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นอยู่

    ด้วยภพภูมิพญานาคมีความละเอียดอ่อน
    การขัดเกลาจิตให้บริสุทธิ์จึงมีความสำคัญ
    ทั้งจะเป็นที่รักของเหล่าพญานาค
    เพราะมีนิสัยชอบสะสมบุญ สร้างบารมี และขวนขวายในกุศล

    ดังนั้น ผู้ถือศีล บำเพ็ญสมณะอย่างเด็ดเดี่ยว
    ย่อมสามารถเข้าถึงได้ แต่ไม่ควรคิดว่า
    เราปฏิบัติธรรมเพื่ออยากเห็นพญานาค

    2. บุรพกรรม
    คนธรรมดาทั่วไปที่ไม่ได้บรรลุธรรม
    จะสามารถเข้าถึงภพภูมิพญานาค
    หรือเห็นพญานาคได้ด้วยเหตุเดียว
    คือ มีบุรพกรรมร่วมกัน

    ที่จำต้องเจอ จำต้องเสวยกรรมร่วมกันอย่างใดอย่างหนึ่ง
    ซึ่งเป็นอจินไตย (เรื่องที่ไม่ควรคิด) เพราะยากต่อการคาดเดา
    ขึ้นอยู่กับ วิบากกรรมว่าจะส่งผลในลักษณะใด

    แต่พออนุมานได้ว่า หากมีกรรมร่วมกัน
    ไม่ว่าจะเข้าถึงธรรมหรือไม่
    ก็สามารถเข้าถึงภพภูมินี้ได้
    แต่การได้เห็นหรือเข้าถึงภพภูมิดังกล่าว
    เป็นเรื่องยากที่สุด

    เพราะโดยปกติแล้ว
    แต่ละภพภูมิจะไม่ยุ่งเกี่ยวกัน ต่างคนต่างอยู่
    ถ้าไม่มีเหตุ หรือกรรมร่วมกันแล้ว ก็ยากที่จะได้เห็น

    ดังนั้น การจะเข้าถึงภพพญานาค
    หรือการจะได้เห็นก็ด้วยเหตุ 2 ประการข้างต้น
    ในข้อแรกนั้น การกำหนดรู้หรือการได้รู้
    ท่านผู้บรรลุธรรมสามารถทำได้

    เพียงแต่บางท่านไม่ปรารถนาไปยุ่งเกี่ยว
    แต่บางท่านมีกรรมร่วมกันก็จำต้องเจอ
    หรือต้องได้เห็นเพราะเหล่าพญานาคเข้ามาหา

    ส่วนในข้อหลังเป็นเรื่องของวิบากกรรมร่วมกัน
    ไม่สามารถกำหนด หรือคาดเดาได้ว่า

    เราจะเห็นพญานาค
    หรือเข้าถึงภพภูมิพญานาคได้ตอนไหน? อย่างไร?
    ซึ่งเป็นเรื่องส่วนบุคคล
    ไม่สามารถคิดหรือมโนไปเองได้

    = = = = = = = =

    #ด้วยไมตรีจิต
    #สุพรรณ์ ก้อนคำ
    #นักเขียนแนวสืบค้นเรื่องพญานาค
     
  10. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,891
    ค่าพลัง:
    +4,720
    ประวัติวัดภูพลานสูง
    อำเภอนาจะหลวย จังหวัดอุบลราชธานี


    วัดภูพลานสูง เป็นวัดในสังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย สถานที่ตั้งวัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 อยู่บนยอดเขาพลานสูงเทือกเขาภูจอง ห่างจากอำเภอนาจะหลวยไปทางทิศตะวันออกประมาณ 4 กิโลเมตร อยู่ในความอุปถัมภ์ของชาวบ้านหลักเมือง มีพระอาจารย์ภรังสี ฉนทโร เป็นเจ้าอาวาส
    wat_poopalansoong1 - Copy.jpg

    wat_poopalansoong4.jpg

    เนื่องจากสถานที่ตั้งของวัดเป็นที่สัปปายะ เป็นป่าเขาลำเนาไพรสงบวิเวก พระผู้ที่เริ่มสร้างวัด คือ พระครูวิบูลธรรมธาดา (กาว ธมฺมทินฺโน) ท่านได้บุกเบิกและสร้างเสนาสนะต่าง ๆ ที่จำเป็นในปี พ.ศ.2518 แม้จะอยู่ในช่วงที่ลำบาก แต่ด้วยความที่ท่านทราบคำทำนายจากคัมภีร์โบราณที่พระครูวิโรฒรัตโน ค้นพบว่าในภายภาคหน้าวัดภูพลานสูงจะมีความสำคัญเป็นวัดที่จะมีพระบรมสารีริกธาตุเสด็จมา จึงพยายามสร้างวัดนี้ขึ้นมา หลังจากนั้นบางปีก็มีพระมาจำพรรษา บางปีก็ไม่มี

    wat_poopalansoong5.jpg

    จนกระทั่งปี พ.ศ.2542 ชาวบ้านหลักเมืองจึงได้พร้อมใจกันกราบอาราธนาให้หลวงพ่อภรังสี ซึ่งประจำอยู่ที่วัดป่าบ้านคำบอนขึ้นมาดูแลวัดภูพลานสูงเพื่อนำพาสาธุชนบูรณปฏิสังขรณ์วัดสืบต่อไป
    หลวงพ่อท่านจึงส่งพระลูกศิษย์มา แต่ด้วยความยากลำบากทำให้พระสงฆ์สามเณรอยู่จำพรรษาไม่ได้

    wat_poopalansoong11.jpg

    ในปี พ.ศ. 2543-2545 หลวงพ่อภรังสีได้ขึ้นมาดูแลและทำการพัฒนาปรับปรุงวัด โดยมานำร่องอยู่ 2 ปี ท่านได้บุกเบิกทำถนนขึ้นสู่วัด จัดระเบียบต่าง ๆ ของวัดให้เป็นรูปเป็นรอย ทำความสะอาดบริเวณรอบ ๆ วัด และมอบหมายให้พระลูกศิษย์ดูแลแทน ส่วนหลวงพ่อได้กลับไปจำพรรษาที่วัดป่าบ้านคำบอนผลปรากฏว่าพระลูกศิษย์ไม่สามารถอยู่จำพรรษาได้ จึงทำให้หลวงพ่อขบคิดว่าทำไมวัดภูพลานสูงพระเณรอยู่ไม่ได้ท่านจึงขึ้นมาดูแลด้วยตัวท่านเองในปี พ.ศ. 2547 ก่อนเข้าพรรษาท่านได้สร้างกุฏิขึ้นมาหลังหนึ่งเพื่อใช้เป็นที่พำนักจำพรรษา จากนั้นหลวงพ่อภรังสีก็ได้เริ่มบูรณะซ่อมแซมสร้างเสนาสนะต่าง ๆ ขึ้นและนำพาญาติโยมประพฤติปฏิบัติธรรมเรื่อยมา พร้อมกับได้ค้นคว้าหาสาเหตุที่พระเณรมาอยู่ที่นี่ไม่ได้เป็นเพราะเหตุใด จนได้ทราบสาเหตุ ต่อมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันเกี่ยวเนื่องด้วยองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ เสด็จมาสู่วัดภูพลานสูงตามคำทำนายของคัมภีร์โบราณหลวงพ่อได้บอกศิษยานุศิษย์มาร่วมรับเสด็จพระบรมสารีริกธาตุอย่างสมพระเกียรติ ปัจจุบันมีพุทธศาสนิกชนที่ทราบข่าวต่างพากันมากราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุกันอย่างมากมาย

    wat_poopalansoong12.jpg

    นอกจากนั้นแล้วยังพบรอยพระพุทธบาทเบื้องขวา รอยพระพุทธหัตถ์ มีเสนาสนะที่สำคัญ ได้แก่ ศาลาวิบูลธรรมธาดานุสรณ์ มหามณฑปครอบรอยพระพุทธบาท และหน้าผาประวัติศาสตร์จารึกเรื่องราวต่าง ๆ ในพระคัมภีร์โบราณ

    (ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลและรูปภาพจาก
    https://www.esanpedia.oar.ubu.ac.th/esaninfo/?p=2924)


     
  11. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,891
    ค่าพลัง:
    +4,720
    (ปักหมุด44) หน้า64ลำดับที่ #1276
    เรื่อง พระบรมธาตุ และพระธาตุลอยน้ำ
    :oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops:


    พระธาตุลอยน้ำ
    ตามโบราณาจารย์ต่าง ๆ ท่านกล่าวว่า
    พระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุที่มีขนาดไม่ใหญ่นักนั้น
    สามารถที่จะลอยน้ำได้
    ส่วนการลอยน้ำของพระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุนั้น

    จะลอยน้ำโดยที่น้ำจะเป็นแอ่งบุ๋มลงไปรองรับพระบรมสารีริกธาตุไว้ นอกจากนี้อาจปรากฏรัศมีของน้ำรอบๆพระบรมสารีริกธาตุอีกด้วย

    ทั้งนี้หากทำการลอยพร้อมๆกันหลายๆองค์
    พระบรมสารีริกธาตุจะค่อยๆลอยเข้าหากันและติดกันในที่สุด ไม่ว่าจะลอยห่างกันสักเพียงใด

    นี่เองจึงเป็นเหตุให้มีผู้กล่าวว่า
    หากมีพระบรมสารีริกธาตุประดิษฐานอยู่ ณ ที่ใดแล้ว
    หากมีการถวายความเคารพเป็นอย่างดีและเหมาะสมแล้ว
    ท่านก็สามารถที่จะดึงดูดองค์อื่นๆ
    ให้เสด็จมาประทับรวมกันได้


    อย่างไรก็ตาม ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย

    ได้ห้ามมิให้ทำการทดสอบ
    พระบรมสารีริกธาตุด้วยการลอยน้ำ


    โดยถือว่าเป็นการดูหมิ่นคุณของ
    องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า



    (ที่มา--วัดสันติธรรม เชียงใหม่)

    **************************************

    (ปักหมุด45) หน้า64ลำดับที่ #1277
    เรื่อง พระบรมสารีริกธาตุที่ไม่แตกกระจาย
    :oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops:

    ในคัมภีร์ก็มีการกล่าวถึง
    พระบรมสารีริกธาตุที่ไม่แตกกระจาย ๗ ประเภทไว้ด้วย คือ
    ๑. พระเขี้ยวแก้ว๑บนด้านขวา (บน+ขวา)
    ประดิษฐานอยู่ในพระจุฬามณีเจดีย์ ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์

    ๒. พระเขี้ยวแก้วบนด้านซ้าย (บน+ซ้าย)
    ประดิษฐาน ณ คันธารบุรี
    (ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ในเจดีย์วัดหลิงกวง ประเทศจีน)

    ๓. พระเขี้ยวแก้วล่างด้านขวา (ล่าง+ขวา)
    ประดิษฐาน ณ แคว้นกาลิงคะ
    (ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ในวิหารวัดพระธาตุเขี้ยวแก้ว
    เมืองแคนดี ประเทศ ศรีลังกา)

    ๔. พระเขี้ยวแก้วล่างด้านซ้าย (ล่าง+ซ้าย)
    ประดิษฐานอยู่ในดินแดนของพระราชาเผ่านาค

    ๕. พระรากขวัญ(ไหปลาร้า)ด้านซ้าย
    และพระอุณหิส (หน้าผาก)
    ประดิษฐานอยู่ในทุสสเจดีย์ ณ พรหมโลก

    ๖. พระรากขวัญด้านขวา
    ประดิษฐานอยู่ในพระจุฬามณีเจดีย์ ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์

    ๗. พระทนต์ ๔๐ ซี่ พระโลมา(ขน)ทั่วพระวรกาย(๙๐,๐๐๐ เส้น) และพระนขา (เล็บ) ทั้ง ๒๐ เทพยดาในหมื่นจักรวาลนำไปบูชาในจักรวาลของตน

    (ขอขอบคุณแหล่งที่มา)

    ******************************************

    (ปักหมุด45) หน้า64ลำดับที่ #1278
    :oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops:

    เรื่อง มหัศจรรย์แห่งพระธาตุ คำอธิบาย
    "ทางธรรม - ทางวิทยาศาสตร์"


    ปาฏิหาริย์และความน่าอัศจรรย์ใจอย่างหนึ่งหลังจากเผาสรีระของพระอริยสงฆ์ คือ กระดูกที่เผาไฟแล้วก็ดี หรือยังไม่เผาไฟก็ดี สามารถแปรเปลี่ยนเป็นผลึก รูปร่างต่างๆ สีสันสวยงาม คล้ายกรวด คล้ายแก้ว ไม่เพียงแต่กระดูกเท่านั้น ผม เล็บ ฟัน หรือแม้กระทั่งชานหมากของท่านเห
    อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้มีอัฐิพระอริยสงฆ์ในยุคปัจจุบัน ที่สามารถแปรเป็นพระธาตุนั้นก็มีอยู่ด้วยกันหลายรูป แต่ละรูปก็มีลักษณะของพระธาตุจำนวนมากมาย ทรงไว้ด้วยความน่าอัศจรรย์ใจ เช่น หลวงปู่พระสุพรหมยานเถร (พรหมา พรหมจักโก) วัดพระพุทธบาทตากผ้า จ.ลำพูน หรือครูบาเจ้าพรหมจักรได้ดับขันธ์ (มรณภาพ) ในท่านั่งสมาธิภานา
    เมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๒๗ เวลา ๐๖.๐๐ น.อายุ ๘๗ ปี ๖๗ พรรษา หลังจากพระราชทานเพลิงเสร็จสิ้นแล้วได้เก็บอัฐิ ปรากฏว่าอัฐิของครูบาเจ้าพรหมจักรได้กลายเป็นพระธาตุ
    มีวรรณะสีต่างๆ หลายสี
    ทั้งนี้ หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม วัดป่าอรัญวิเวก ต.บ้านป่า อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม พระอริยะสำคัญสายพระอาจารย์มั่น และเป็นสหายร่วมธุดงค์ของหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ได้เคยกล่าวไว้ว่า
    "อำนาจตบะที่อริยบุคคลได้ตั้งหน้าบำเพ็ญเพียรเพื่อขัดเกลากิเลสนั้น มิได้แผดเผาชำระล้างเฉพาะกิเลสเท่านั้น หากแต่ได้แผดเผา ชำระล้าง ซักฟอกกระดูกในร่างกายให้กลายเป็นพระธาตุไปด้วยในขณะเดียวกัน"

    ส่วนกรณีของธาตุของหลวงปู่มั่น ภูริทัตตมหาเถร ณ วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนคร เมื่อถวายพระเพลิงเสร็จแล้ว อัฐิขององค์หลวงปู่ได้ถูกแบ่งแจกไปตามจังหวัดต่างๆ และประชาชนได้เถ้าอังคารไป ยังที่ต่างๆ ก็กลายเป็นพระธาตุไปหมด แม้แต่เส้นผมของท่านที่มีผู้เก็บไปบูชาในที่ต่างๆ ก็กลายเป็นพระธาตุนั้น หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เคยอธิบายไว้ว่า

    "อัฐิพระอรหันต์ก็ดี ของสามัญชนก็ดี ต่างก็เป็นธาตุดินเช่นเดียวกันการที่อัฐิกลายเป็นพระธาตุได้นั้น ขึ้นอยู่กับใจหรือจิตเป็นสำคัญ อำนาจจิตของพระอรหันต์ท่านเป็นอริยจิตเป็นจิตที่บริสุทธิ์ ปราศจากกิเลสเครื่องโสมมต่างๆ อำนาจซักฟอกธาตุขันธ์ให้เป็นธาตุบริสุทธิ์ไปตามส่วนของตน อัฐิจึงกลายเป็นพระธาตุไปได้ แต่อัฐิหรือกระดูกสามัญชนทั่วไป แม้จะเป็นธาตุดินเช่นเดียวกัน แต่จิตสามัญชนทั่วไปเต็มไปด้วยกิเลส จิตไม่มีอำนาจและคุณภาพที่จะซักฟอกธาตุขันธ์ของตนให้บริสุทธิ์ได้ อัฐิจึงจำต้องเป็นสามัญธาตุไปตามวิสัยจิตของคนมีกิเลส จะเรียกไปตามภูมิของจิตภูมิของธาตุว่า อริยจิต อริยธาตุ และสามัญจิต สามัญธาตุก็คงไม่ผิด เพราะคุณสมบัติของจิตของธาตุระหว่างพระอรหันต์กับสามัญชนย่อมแตกต่างกันอย่างแน่นอน ดังนั้น อัฐิจึงจำเป็นต้องต่างกันอยู่ดี"

    คำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์
    นายโอฬาร เพียรธรรม ผู้เขียนหนังสือ ตามหาความจริงวิทยาศาสตร์กับพุทธธรรม และถอดกฎ พบกรรมทฤษฎี ธรรมประยุกต์ บอกว่า ในพุทธศาสนาของเราทั่วทั้งสากลจักรวาลทั้งหมดนี้ ที่รวมสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตทุกอย่างนั้น แบ่งออกได้เป็นปรมัตถ์สัจจะหรือความจริงสูงสุดได้ ๒ อย่างเท่านั้น คือ อย่างแรกเรียกสังขตธรรม คือ ธรรมชาติที่เกิดจากการปรุงแต่ง ซึ่งแยกได้เป็น ๒ ส่วน คือ รูปกับนาม และถ้าถามว่ารูปกับนามคืออะไร ก็ตอบว่าทั้งหมดทั้งปวงในจักรวาลทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตนั้นคือรูปกับนามทั้งสิ้น

    ทั้งนี้ หากขยายความโดยโยงกับวิทยาศาสตร์ก็ได้ว่า รูป คือ สสารและพลังงานทุกอย่างทางวิทยาศาสตร์ ส่วน นาม คือ จิต และ เจตสิกในพุทธศาสนา ในขณะที่ความจริงสูงสุดอีกอย่างหนึ่งก็ คือ อสังขตธรรม คือ ธรรมชาติ ที่ไม่มีการปรุงแต่ง ซึ่งธรรมชาตินี้ก็คือสภาวะนิพพานนั่นเอง ธาตุต่างๆ (ทางวิทยาศาสตร์) ที่มีในโลกนี้ ยกตัวอย่างเช่น คาร์บอน (C) ที่มีในต้นไม้ในถ่านไม้ ถ่านหิน แต่จากระยะเวลาที่ธาตุคาร์บอนเหล่านี้ ได้รับพลังงานจากแรงอัดพลังงานจากความร้อน ฯลฯ นับแสนๆ นับล้านๆ ปีก็ทำให้ธาตุคาร์บอนที่เริ่มแรกเป็นไม้หรือถ่านไม้ธรรมดา กลายเป็นเพชรไปในที่สุดได้เหมือนกัน

    นอกจากนี้แล้ว พวกพลอยต่างๆ ที่มีคุณภาพไม่ดีนักก็อาจเอามาเผาให้พลังงานความร้อนเข้าไปพลอยก็จะมีสีสวยนั้น มีความแข็งขึ้นได้เช่นกัน โดยสรุปก็คือ มนุษย์สามารถเอาพลังงานทางวิทยาศาสตร์นั้น มาใส่เพิ่มเข้าไปในธาตุต่างๆ เพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพให้วัตถุธาตุนั้น มีสีสวยขึ้นแข็งขึ้น หรือเปลี่ยนสภาพไปได้ (เช่น จากถ่านเป็นเพชร)

    “พลังจิตของพระอรหันต์นั้นสูงกว่าพลังงานทางโลกที่มนุษย์ทำได้นับล้านๆ เท่า และพลังงานนี้จะโดยจงใจหรือไม่จงใจผู้เขียนก็ไม่ทราบได้ แต่พลังงานนี้สามารถทำให้กระดูกหรืออวัยวะส่วนใดของพระอรหันต์ก็ตาม แปรสภาพเป็นธาตุที่แข็ง มีสีสดใส แวววาว เป็นสภาพที่เราเรียกว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุ ตามที่เราเห็นกันในปัจจุบัน” นายโอฬารกล่าว

    พร้อมกันนี้ นายโอฬารยังอธิบายต่อว่า ขบวนการก็อาจอธิบายได้เช่นเดียวกับธรรมชาติ ได้สร้างเพชรและพลอยต่างๆ ให้เกิดขึ้นในโลกนี้ แต่ขบวนการทางโลกใช้พลังงานทีละน้อย สะสมกันนับล้านๆ ปี แต่พระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุต่างๆ นั้นใช้ระยะเวลาสั้นๆ แต่ใช้พลังงานจากจิตของผู้บรรลุนิพพานแล้ว ซึ่งสูงเป็นล้านๆ เท่าของพลังงานธรรมชาติ ซึ่งก็สามารถเปลี่ยนธาตุธรรมดาให้เป็นธาตุพิเศษ มีความแข็ง แวววาว และมีสีสันต่างๆ ตามลักษณะของพระธาตุทั่วไป ที่เราพบเห็นในปัจจุบันนั้นเอง ก็เป็นคำอธิบายในกรอบกว้างๆ ทางวิทยาศาสตร์ว่าพระธาตุต่างๆ เกิดขึ้นมาได้อย่างไร

    "อัฐิกลายเป็นพระธาตุได้นั้น ขึ้นอยู่กับใจหรือจิตเป็นสำคัญ อำนาจจิตของพระอรหันต์ท่านเป็นอริยจิตเป็นจิตที่บริสุทธิ์ ปราศจากกิเลสเครื่องโสมมต่างๆ อำนาจซักฟอกธาตุขันธ์ให้เป็นธาตุบริสุทธิ์ไปตามส่วนของตน อัฐิจึงกลายเป็นพระธาตุ"
    :rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes:

    เรื่อง.."ไตรเทพ ไกรงู"
    ภาพ. "ศูนย์ภาพเนชั่น"
    นสพ.คมชัดลึก


    (9@Phonlee, 15 กันยายน 2018)


    **********************************************************


    (ปักหมุด46) หน้า64ลำดับที่ #1279

    :oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops:


    เรื่อง ความตายไม่ได้น่ากลัว
    แต่ไม่มีสติ ก่อนตาย นี้สิน่ากลัว


    องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ท่านจึงสอนให้เราระลึกถึงความตาย จิตก่อนตาย สำคัญมากค่ะ

    ในชีวิต สัมผัสกับประสบการณ์ คนใกล้ชิด และแปลกหน้า ก่อนตาย
    สัตว์เลี้ยง และ การที่ตัวเองใกล้ตาย

    รับรู้กระแสความเจ็บปวด ทรมาน ทุรนทุราย
    นี้ล่ะ ฝึกเท่าใด ช่วงจิตวิญญาณ หลุด กับ กายขันธ์
    เจ็บปวดหาที่ใดเปรียบ

    การฮาราคีรี ของชาวญี่ปุ่น ถึงตั้งสมาธิก่อนตาย
    เพิ่งเข้าใจที่ปู่สอนมา...


    ญาติผู้ใหญ่เสียชีวิต
    เจออุบัติเหตุเอง
    จนเป็นอาสาสมัคร ปอเต้กตึ้ง ไปช่วยเขาเก็บศพ
    เรียน CPR การปฐมพยาบาล จับสัญญาณชีพเบื้องต้น เรียนที่อเมริกานี้ล่ะค่ะ
    ถึงได้รู้ว่า “อาการคนก่อนตาย ไขว่คว้าหาชีวิตเป็นยังไง” มล เคยปั้มหัวใจ คนแก่ที่เป็นฝรั่ง อาการช้อค stroke กลางร้านมาแล้ว “1..2..3 Breath !!!”
    ยอมรับว่า หน่วยฉุกเฉินที่นี้ สุดยอดค่ะ เหมือนในหนัง
    เร็วมากกกกกกกก เป็นแบบสากลและช่วยผู้ป่วยได้ทันท่วงที นึกถึงตอนทีมหมูป่าติดถ้ำแฮะ (หน่วยไทยก็เร็ว แต่ระบบยังไม่อำนวย)

    ขอบคุณที่โลกใบนี้ มีพระพุทธศาสนาสอนให้เรา
    ไม่กลัวความตาย แต่ตายแล้วไร้จุดหมาย
    หรือพลาดตอนกำหนดจิตก่อนตาย
    เพราะทรมานสรีระสังขาร
    น่ากลัวสุดๆ ค่ะ


    :rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes:

    (ศิริมันตรา, 16 กันยายน 2018)
     
  12. aegmanmu

    aegmanmu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5,224
    ค่าพลัง:
    +10,122
    สาธุๆครับท่าน9
     
  13. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,891
    ค่าพลัง:
    +4,720
    (ปักหมุด47) หน้า65ลำดับที่ #1281
    :oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops:

    Tips&Tricks บุรุษไร้เงา(อจ.นพ)
    เรื่อง เจาะลึกพระบรมสารีริกธาตุกับวิทย์ฯ

    ส่วนของพระสรีระ
    จะมีพลังงานในตัวเอง
    ในลักษณะคลื่นประจุไฟฟ้า
    ซึ่งสามารถดึงดูดกันได้ปกติ
    แต่เป็นคลื่นในลักษณะที่ทางวิทย์
    เรียกว่า แรงนิวเคียร์แบบเข้ม
    นึกถึงเวลาเราดึงยางให้ยืดออก
    พอปล่อยก็จะกลับมาได้นั้นหละ
    จำไม่ผิด สื่อนำแรงประเภทนี้
    ทางวิทยาศาสตร์เรียกว่า ฮิกต์ นี่หละ
    สามารถเห็นได้ชัด เพราะส่วนตัว
    เคยแยกสีโดยใช้ปลายหลอดดูดน้ำ
    และปลายไม้จิ้มฟันแยก

    ส่วนกรณีพระบรมสารีริกธาตุ
    ข้อที่ ๑. ที่คุณ เก้า นำมาลง
    ส่วนตัวเคยเล่าไปแล้ว
    ที่ประมานมีเทวดา งอขาแบบในกำแพง(สีเขียวเข้ม)
    ลอยอยู่รอบๆนั่นหละครับ
    ส่วนข้างในจะเจอกลุ่มที่เป็นพรหมมีสี
    แต่ว่าสีใสอยู่ข้างใน
    ที่บอกลอยคือลอยที่ปลายยอดนะครับ

    ส่วนสภาวะที่ไม่กลับมาเกิดนั้นนะครับ
    ทางวิทยาศาสตร์นะครับ
    เล่าแบบรวมๆนะครับ

    องค์ประกอบของสะสาร
    ที่มีอนุภาคที่เป็นสื่อนำแรง
    ปกติมันจะมีแรงเพียงชนิดเดียว
    เป็นเอกลักษณ์ เช่น ๑ แรงโน้มถ่วง ๒ แรงแม่เหล็กไฟฟ้า บ้างเรียกโฟรตรอนหรือแสง
    ๓ แรงกูออนหรือนิวเคลียร์แบบเข้ม
    และสุดท้ายคือ ๔ แรงนิวเคลียร์แบบอ่อน


    แรงที่ ๔(ข้อสี่) นี่หละครับ ที่มันแปลกกว่าเพื่อน
    คือมันมีองค์ประกอบสื่อนำแรงถึง ๓ ชนิด
    คือ ๑ แรงที่ไม่มีประจุบวก
    ๒แรงที่มีประจุบวก
    และ ๓ แรงที่มีประจุลบ. มันจะแปลกตรง

    อ่านดีๆนะครับ
    เมื่อมันมีการคลายประจุ
    มันจะสามารถเกิดการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของสะสารได้คือ

    ๑เปลี่ยนไปเป็นอีกอย่าง(นิวตรอนไปเป็นโปรตรอน โดยมีกระบวณการ เริ่มต้น เปลี่ยนจาก อัพคว๊ากเป็นดาวน์คว๊าก เราเรียกว่าเล่นแร่แปรธาตุ)๒ .หรือหายไป(คือสภาวะที่ไม่มีการกลับมาเกิด)

    ย้อนความจำ กันงง
    อะตอม ประกอบด้วย อิเลคตรอน และนิวเคลียสซึ่งอยู่ตรงกลาง

    ส่วนนิวเคลียสนั้นประกอบด้วย.
    นิวตรอนและโปรตรอน
    ซึ่งประกอบด้วยแรงที่เราเรียกว่า
    อัพคว๊ากและดาวน์คว๊าก

    นิวตรอนและโปรตรอน ต่างกัน
    ตรงที่ตัวหนึ่งมีอัพสอง ดาวน์หนึ่ง(โปรตรอน)
    อีกตัวมีดาวน์สองอัพหนึ่ง(นิวตรอน)ครับ

    ย้อนไปดู แรงที่ ๔ นิวเคลียร์แบบอ่อน
    ที่มีแรงที่มีและไม่มีประจุรวม สามตัวนั้น

    ถ้าดาวน์คว๊ากนั้น มีแรงจาก(๑ใน ๓ ตัว จากข้อ ๔) แรงตัวหนึ่งถ้ามันคลายประจุลบ ออกมา ดาวน์คว๊ากจะเปลี่ยนเป็นอัพคว๊าก และถ้ามันหลุดออกจากนิวเคลียสเมื่อไร
    มันก็จะสูญสลายไปในทันที

    แต่ถ้าดาวน์คว๊ากใน นิวตรอนถ้ามีการคลายประจุลบและนิวตรอนออกมา
    มันจะกลายเป็นโปรตรอนทันที

    ที่เล่าคือปัจจุบันทางวิทยาศาสตร์
    ได้ค้นพบแล้ว
    แต่ถ้าเราสั่งเกตุดีๆ. จิตนี่หละ
    ที่สามารถเป็นต้นกำเนิด ของแรงต่างๆ
    ทั้ง ดึงดูด แม่เหล็ก นิวเคลียร์แบบเข้มและแบบอ่อน ซึ่งแรงเหล่านี้
    ที่เราได้อยู่ร่วมในธรรมชาติเป็นปกติ
    กับที่เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์พึ่งค้นพบ
    เราจะเห็นว่า พวกนี้มันไม่ใช่เรื่องแปลก
    เลยทางพุทธศาสนา มีมาตั้งแต่ยุคพุทธกาลแล้ว
    แต่เราเห็นกันในเรื่องของความพิเศษ
    ความสามารถพิเศษต่างๆ ที่ท่านทั้งหลาย
    ได้เคยกระทำให้เราเล่าสืบต่อกัน
    มานั่นหละครับ

    ปล. อะตอม ประกอบด้วย อนุภาค
    ๒ อย่างคือ องค์ประกอบของสะสาร
    (ตังอย่างเรื่องขวด)เรียกว่าเฟอร์มิออน
    และสื่อนำแรง เรียกว่า บัวซอง (ซ้อนกันได้
    ไม่จำกัด) นอกจากนิวเคลียสและอิเลคตรอน

    ถ้าเราพยายามเอาธรรมะไปประยุกต์แล้วเราไม่เข้าใจกระบวนการเกิดของมัน
    ปฎิบัติไม่เพียงพอที่จะเข้าถึงพลังงาน
    เราจะเห็นในภาพกว้างๆ
    จะเหมาว่ารูป

    จะเข้าใจว่าจิตเป็นนามอย่างเดียว
    จะเข้าใจว่ารูปคือสะสารและพลังงานทุกอย่างถ้า พลังงานเป็นรูป (ถามว่าพลังงานเรามองเห็นไหม มันมีตัวมีตนไหม มันอยู่คงทนจนเรามองเห็นได้ปกติเหมือนกายไหม ฝากเป็นข้อคิดว่าพลังงานเป็นรูปหรือนาม หรือมันแทรกอยู่ในรูป หรือเป็นองค์ประกอบของสะสาร ที่รวมเป็นรูป ก็ให้พิจารณากันเอง ถ้า
    นึกไม่ออก ให้พิจารณาว่าถ้าพลังงานเป็นรูปจริง ร่างกายเราจะเสื่อมได้ไหม?)
    แล้วไปคาดคะเนว่า

    พลังงานพระอรหันต์
    เป็นแบบโน้นแบบนี้ มันไม่ใช่ครับ
    เพราะว่ามันไม่มีขอบเขต
    มันเลยเป็นไปไม่ได้เลย
    สำหรับการ
    จะไปชี้วัด ว่าเป็นกี่เท่าหรือกี่เท่า
    หรือจะไปเปรียบให้เห็นได้

    เช่น เก้าอี้ตัวนี้ มีขนาดเป็น สามเท่า
    ของอีกตัว. แสดงว่าเก้าอี้ทั้งสองตัว
    ต้องสามารถวัดได้ เลยเอามาเปรียบได้

    ดังนั้น ไม่ว่าใคร ก็ไม่สามารถ
    ที่จะไปรู้ ไปวัด ไปเทียบ กับ
    พลังงานของพระอรหันต์

    เพราะพลังงานเป็นลักษณะไร้ขอบเขต
    ไร้กาล ไร้เวลา ไม่มีขอบอะไรให้เทียบ
    ขนาดอะไรได้ครับ. นึกออกไหมถ้ามีขอบ
    แสดงว่ามันต้องมีองค์ประกอบของสะสาร
    ที่รวมไปกันจะต้องได้วัดได้เหมือนเก้าอี้

    เราจึงพูดได้แค่ว่า ไร้ขอบเขต เท่านั้น
    สำหรับภาษาที่สื่อให้มนุษย์ด้วยกันเข้าใจ

    นี่หละครับเรื่องอจิณไตร
    จึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรพูด
    หากไม่เข้าถึงด้วยตนเอง
    เพราะมันจะไป คิด วิเคราะห์ แยกแยะ
    ตีความเอาไม่ได้ เพราะมันเป็นนามธรรม
    เป็นสภาวะธรรมอย่างหนึ่ง
    ซึ่งก็เป็นนามธรรมอีกเช่นกันครับ

    เรื่องอื่นๆที่เหลือเช่นกันก็จะเห็น
    ในภาพรวมกว้างๆครับ

    ปล เล่าให้ฟังเป็นนิทาน พอขำๆ
    บุรุษไร้เงา(อจ.นพ)
    :rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes:

    *************************************
     
  14. ง่าวต๋าย

    ง่าวต๋าย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2020
    โพสต์:
    96
    ค่าพลัง:
    +151
    ที่บ้านเคยไปดูหมอดูมา บอกว่าพระภูมิเก่าที่ย้ายที่ตั้งใหม่ ยังไม่ขึ้นเค้าทรมานมาก หมอดูว่างั้น จะทำให้คนในบ้านมีปัญหาที่ขา ตอนแรกนู๋ก็ไม่เชื่อหรอกค่ะแต่ตอนนี้ประสบอุบัติเหตุที่ขา6คนล่ะ แบบนี้เราจะรู้ได้ไงว่าจริงรึไม่จริง เพราะไม่มีใครเคยฝันถึงพระภูมิเลย
     
  15. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,048
    นิทานนะ
    ภพภูมิที่อยู่มานานมากจนมีกำลังเนื่องจากระยะเวลาที่ตนเองอยู่ในภูมิระดับนี้นะ คือปกติไม่ได้รับบุญไม่ว่าจากทางใดๆ สีผิวจะออกสีดำด้าน พวกนี้จะสามารถจับร่างกายเราได้ แล้วอยู่มาวันหนึ่ง มีคนมาบอกจะตั้งศาลให้อยู่เป็นที่เป็นทาง แต่ด้วยเหตุอะไรก็ตามที่ทำให้ไม่สามารถอยู่ที่ศาลได้ เช่น ไม่ได้กรวดน้ำเพื่อยกกำลัง ,ถูกภูมิเจ้าที่เดิมขวาง สถานที่ไม่เรียบร้อย ก็เปรียบเหมือนความหวังพังทะลาย ,ดังนั้นจากความหวังจึงเปลี่ยนเป็นความพยาบาท ,"จับตรงไหนหักตรงนั้น"

    ปล.ภูมิระดับกำลังต่ำจำเป็นต้องใช้น้ำเพื่อส่งกำลังบุญก่อนทำเรื่องอื่นๆ.
    จบนิทาน แค่เพียงแต่เล่าให้ฟัง
     
  16. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,891
    ค่าพลัง:
    +4,720

    การใช้น้ำหมายถึง "กรวดน้ำอุทิศบุญให้พระภูมิเจ้าที่ก่อน"
    ขอบุคุณอจ.นพครับ ที่ชี้แนะ ส่วนตัวผมก็ไม่เคยรู้เหมือนกัน
     
  17. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,891
    ค่าพลัง:
    +4,720
    (ปักหมุด48) หน้า71ลำดับที่ #1408
    :(:(:(:(:(:(:(:(:(:(



    เรื่อง ขโมยธรรมชาติหมายถึง

    อย่างธรรมชาติที่เราดูแล้วสวยๆ
    ไม่ว่าจะตรงพื้นหญ้า ป่าเขา ในถ้ำ ชายหาด
    ตี่ต่าง...ชายหาดมีหิน ปะการัง เปลือกหอย
    ทุกคนไปหยิบมาคนละชิ้น คนละก้อน
    ธรรมชาติสวยๆบนชายหาดย่อมขาดความสมดุล

    เหมือนภาพวาดหนึ่งที่ขาดความสมดุล
    ...แม้คนทั่วไปจะมองว่า "สวย"
    แต่คนที่มีศิลปะจากการเรียนรู้ จากพรสวรรค์
    มองอย่างไง...ภาพสวยๆนั่น...ก็ขาดๆเกินๆ

    เด็กๆ...ไม่บาปหรอก ด้วยความไร้เดียงสา

    ...คือขโมย...แต่ไม่ใช่ขโมย (งงไหม)
    ขโมยธรรมชาติในวัยเด็กๆ
    มันละเอียดเกินไปที่จะว่าเป็น"ขโมย"

    ประสาเด็กๆ ควรเรียกว่า"ซนตามวัย"
    ...เป็นธรรมชาติที่สวยงามอีกอย่างเหมือนกัน
    ...เป็นความสมบูรณ์ของธรรมชาติในอีกรูปแบบหนึ่ง
    เพราะถ้าเด็กๆทั้งหลายอยู่เงียบอยู่เฉยๆเช่นตุ๊กตา
    ...ไร้ชีวิตชีวา...โลกใบนี้...เซ็งไหมละ
    ...พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย เหงาเหมือนกันนะ
    ...พาลจะเป็นโรคซึมเศร้าด้วยซ้ำไป

    ส่วนที่ว่า....
    "ซากปะการัง หอย ให้คนไปหมดแล้ว"
    นั่นแหละ *ดีแล้ว*
    ไม่ต้องเสียดาย
    ...ยังดีที่ไม่เหลือเก็บไว้


    เพราะไปขุดจากในถ้ำหรือรอบๆถ้ำ
    เกรงว่าจะมีอาถรรพ์ซ่อนเร้นอยู่ในก้อนหิน
    เร็วๆนี้คงเคยได้ยินคำว่า"อาถรรย์ถ้ำหลวง"
    ...จบแค่นี้ก่อนนะครับ
    ...ถ้ายาวๆไป แบบกระเป๋ารถชอบพูด"ยาวไปๆๆๆ"
    ...เกรงว่ากระทู้นี้จะมีอาถรรพ์แอบแฝงเข้ามาด้วย
    ...555 (เข้าใจตรงกันนะ)

    .....ที่พูดให้ฟัง
    ทุกวัยเด็ก...ซนไม่ต่างกันเลย
    เปลือกหอย ปะการังชิ้นเล็กๆ ตามชายหาด
    ผมเดินเก็บใส่กระเป๋ากางเกงตุงเหมือนกัลล์
    5555
    (9@Phonlee, 21 กันยายน 2018)

    ***********************************

    (ปักหมุด49) หน้า71ลำดับที่ #1418
    :oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops::oops:

    เรื่อง ความหมาย 12 นักกษัตร
    ชวด = หนู ชอบลักกินขโมยกิน
    น่าจะหมายถึง อย่าเอาอย่างหนู ที่ชอบขโมย
    ฉลู = วัว ความอดทน
    ขาน = เสือ มีความคมกริบ ในการตัดสินใจ
    เถาะ =กระต่าย อ่อนนุ่ม อ่อนโยน
    มะโรง =งูใหญ่ มุ่งมั่น เข้มแข็ง
    มะสิง = งูเล็ก ขี้โกง มุ่งหมายมาดร้าย
    มะเมีย = ม้า เปรียบดั่งความสง่างาม คือ ทำอะไร ไม่ผิดศีลธรรม
    มะแม = แพะ เปรียบดั่งผู้สันโดน มัธยัสถ์ เมตตา
    วอก = ลิง มีความว่องไว ปัญญาดี คิดแล้วทำ
    ระกา= ไก่ ตื่นเช้า ทำงานหากิน ไม่นอนตื่นสาย
    จอ = หมา มีความซื่อสัตย์ ไม่คดโกง
    กุน = หมู กินง่าย อยู่ง่าย

    โดยรวมของ 12นักษัตร คือการปฎิบัติตัว
    หลักการดำรงค์ชีวิตของฆราวาส
    ปล.รอดู อ.นบ อธิบาย อีกทีค่ะ

    :rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes:
    วงกรตน้ำ, 21 กันยายน 2018
     
  18. 9@Phonlee

    9@Phonlee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    1,891
    ค่าพลัง:
    +4,720
    สุริยะธาตุปรากฏ
    สุริยะธาตุปรากฏ พออธิษฐานเสร็จข้อพระหัตถ์เบื้องขวาได้ปรากฏขึ้นมาและเสด็จพุ่งขึ้นไปบน อากาศ เกิดเป็นแสงสว่างทั่วท้องฟ้าเหล่าเทพเทวดาทั้งหลายต่างประกาศกึกก้องขึ้น ว่า “สุริยะธาตุปรากฏแล้ว สุริยะธาตุปรากฏแล้ว สุริยะธาตุปรากฏแล้ว” ๓ ครั้งดังก้องกังวานไปทั่วจักรวาล หลวงพ่อตกใจมาก เ กิดปิติขึ้นอย่างรุนแรง น้ำตไหลพรากไหลออกมาอย่างมากคล้ายกับคนร้องไห้ จากนั้นเทวดาก็นำหลวงพ่อกลับมาส่งเข้าร่าง เมื่อได้สติหลวงพ่อเปิดประตูคลานออกมาจุดธูปเทียนหน้าโต๊ะหมู่บูชาตั้งจิต อธิษฐานว่า “ถ้าสิ่งที่ปรากฏแก่เกล้าฯนี้มีจริง ข้าฯ นั่งสมาธิยังไม่สงบดี สิ่งเหล่านี้มาปรากฏได้อย่างไร ถ้าสิ่งนี้มีจริงขอให้ข้าพเจ้าหายปวดขาเดินได้เป็นปกติ ข้าพเจ้าจะเตรียมสถานที่รองรับ” เมื่ออธิษฐานเสร็จก็เข้าห้องพักผ่อน พอตื่นเช้าขึ้นมาก็เดินได้แต่ยังไม่หายดี ตอนที่ปวดมาก ๆ หลวงพ่อได้เรียกญาติโยมมาช่วยกันรักษา มาต้มน้ำอุ่น มาประคบยา ทำลูกประคบบ้าง โยมทายกที่เป็นคนประคบบอกว่า เขานึ่งลูกประคบแล้วเอามารองทาบกับตัวเขาเองมันร้องจัด เวลาเขาเอาไปวางที่ขาหลวงพ่อๆ บอกว่าไม่ร้อนไม่รู้สึกอะไร
    เขาก็งง เขาก็กลับเอาไปนึ่งใหม่ให้มันร้อน พอเอามาประคบหลวงพ่อก็เหมือนเดิม สาเหตุอันนี้เนื่องมาจากสุริยะธาตุ การที่เทวดาทั้งหลายเขาประกาศก้องว่า สุริยะธาตุปรากฏแล้ว สุริยะธาตุก็คือแสงสว่างของพระพุทธเจ้า คือพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธองค์ปรากฏขึ้นแล้วสุริยะธาตุปรากฏแล้ว หลวงพ่อจึงได้ให้หลวงปู่นพสิทธิ์จัดทำสติกเกอร์ติด
    รถว่า “สุริยะธาตุปรากฏแล้ว”

    เมื่อหลวงพ่อได้ประสบกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน หลวงพ่อจึงได้เริ่มศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องราวของพระบรมสารีริกธาตุ ก็เลยเข้าใจเรื่องราวในสมัยพุทธกาล ในอดีตเมื่อครั้งสมัยพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิ ญาณ ทรงประกาศพระศาสนา มีคนศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาและประกาศว่า “พระพุทธเจ้าอุบัติแล้วพระพุทธเจ้าอุบัติแล้ว พระพุทธเจ้าอุบัติแล้ว” ๓ครั้ง นี่คือที่มาแห่งพระพุทธเจ้ามาบังเกิดแต่ละยุค ในยุคนี้สุริยะธาตุปรากฏแล้ว แต่ในยุคก่อนพระพุทธเจ้าอุบัติแล้ว พระพุทธเจ้าปรากฏแล้ว คำว่าสุริยะธาตุปรากฏแล้วหมายความว่า พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น พระพุทธเจ้าปรากฏขึ้นเกิดขึ้นโดยพุทธสรีระด้วยพระบารมีของพุทธองค์ เมื่อสุริยะธาตุปรากฏขึ้นทำให้โลกธาตุแปรปรวน ธาตุทั้ง ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟก็เกิดแปรปรวน เกิดแผ่นดินไหว ฝนตก เกิดภัยธรรมชาติขึ้นทุกอย่างเกิดขึ้น ดินน้ำลมไฟ ประกาศรองรับพระพุทธองค์ แต่มนุษย์ยังไม่รู้เรื่อง เมื่อพระพุทธเจ้าปรากฏขึ้นแล้วจึงได้เกิดเป็น ม.ศ. เกิดเป็น ม.ศ. ม.ศ.นี้คือศิวิไลซ์


    http://suriyathatcivilize.org
    (บทความจากวัดภูพลานสูง อุบลราชธานี)
     

แชร์หน้านี้

Loading...