ขอค้าน หลวงพ่อเกษม อาจิณสีโล

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 27 กุมภาพันธ์ 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    แล้วทำไม คุณ เข้าใจยาก หละครับ
    ผมไม่เห็น ไม่เข้าใจอะไรนี่ ผมก็รู้ว่า มันอาจจะเข้าใจผิดได้
    แต่ ถ้ารู้ก็ คือ รู้ แม้เข้าใจผิด ก็ต้องรู้ว่า สิ่งที่ผมพูดหมายถึงอะไร
    แสดงว่า คุณ ไม่เคยผ่าน ธรรมเอก อันนั้นถูกไหม

    ผมจะบอกให้ฟัง ว่า ธรรมเอกนั้น ทั้ง พระโสดาบัน ทั้งพระสกิทาคามี อนาคามี และ พระอรหันต์ รู้เห็นอย่างเดียวกันหมด แต่ใครจะแจ้ง จนยกจิตไปอยู่ตรงนั้นได้ตลอด ก็ตามภูมิธรรม
    แต่ เห็นอย่างเดียวกัน ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค อย่างเดียวกัน เห็น นิพพานเหมือนกัน เห็นนิโรธ เหมือนกัน
    จะไปเห็นต่างกันได้อย่างไร
     
  2. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    คุณ ขุนพล ส่งจิตออกนอก และ ตีความว่า ธรรมเอกนั้นจะต้องอัศจรรย์ ฟ้าดินถล่ม เพราะ ท่านฟัง พระอริยะมา

    การเปรียบเทียบว่า ฟ้าดินถล่มนั้น มีในพระอรหันต์ แต่ไม่ได้ หมายความว่า ฟ้าดินจะถล่ม แต่จิตนี้ มันขาดจากอวิชชา สบั้นลง มันกระเทือนไปถึงทุกภพ นั่นคือ พระอรหันต์
    แต่ หาก พระโสดา พระสกิทาคา อนาคามี มันก็สะเทือน แต่ มันฉีก ทัสนะ ฉีก วิสัย ออกไปอีกโลกหนึ่ง ไม่ได้มองโลกอย่างที่เคยเป็น นั่นแหละ มันสะเทือนอย่างนั้น มันอัศจรรย์ ตรงนั้น

    ท่านยังส่งจิตออกนอก อยุ่ ท่านไม่รู้ตัวนี่
     
  3. khajonsak9999

    khajonsak9999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +1,536
    ก็ ถ้าอยากจะ รู้เรื่องธรรมเอก ที่ผุดขึ้น ซึ่งธรรมเอกนั้นแหละ ที่บางท่านเรียกว่า บรรลุธรรม มันจะเด่นชัดทันที ไม่สงสัย รู้แจ้งในธรรมทั้งปวง รู้ว่าพระพุทธองค์ กล่าวเรื่องอะไร จนคิดว่า เราไม่ต้องรู้ธรรมอะไรแล้ว ธรรมมาอยู่ที่ใจนี้แล้ว

    นั่นแหละเรียกว่า ธรรมเอก ที่ผุดขึ้น ก็ถ้ายังไม่มีตรงนี้ ก็ถาม ท่านเอกวีร์ หรือ ท่านฐานัฏฐ์ ดู เรียกว่า โคตรภูญาณ

    .......................................
    ตามที่คุณขันธ์ ยกตัวอย่างมานี้.....ยังไม่ใช่ธรรมเอกครับ เป็นเอกกัตตอารมณ์ อะไรนี่แหล่ะ เพราะขั้นตอนการตัดกิเลส ต้องตัดเป็นขั้นๆ ครับ
    คือ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี และอรหันต์ครับ
    .......................................
    แล้วที่พูดๆกันอยู่นี่ ข้ามไปตัด อรหันต์กันเลยหรือท่าน อันนี้ยังไม่เคยเห็นมาครับ...............เพราะต้องตัดตามขั้นตอน ตามความละเอียดของปัญญา ที่ได้และความยากง่ายของกิเลส ครับ ผมว่า น่าจะเป็นแบบนี้นะครับ
     
  4. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    คุณ ขุนพล มีความสามารถทางสมาธิ ท่านก็ลองคุยแยกอารมณ์สิครับ

    แต่ความมันเกี่ยวกันนั้น มันเรื่องธรรมดา แต่ต้องแยกวิถีที่กำลังคุยกับแต่ละคน
    ให้ได้

    ผมนั้นก็ไม่ได้เก่งอะไร ก็ยอมรับว่า วิปัสนาญาณตัวแรกยังไม่เกิด กำลัง
    คลำทาง แต่ขณะกำลังคลำทาง ผมก็ทิ้งแล้วไปทำทางเดียวกับทางขุนพล
    ผมจึงเป็นพวก จับจด ก็ใช่ จะเป็นพวก พหูสูต ก็ใช่ เพราะนอกจากนี้ผมก็แยก
    เรื่องคุยไปเรื่อย ถ้าผมจับอารมณ์เดียว ทางเดียว ก็อดทุกทางซิ มโนยิทธิก็
    ไม่รู้เข้าใช้อารมณ์ไหน หลวงปู่มั่น หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ชา หลวงปู่ดูลย์ หลวงพ่อ
    ปราโมทย์ และก็ หลวงพ่อเกษม หลวงพ่อสด(ราชบุรี) ทุกท่านก็สอนต่าง
    อินทรีย์กันทั้งนั้น ผมก็พยายามหาข้อแตกต่าง โดยพยายามดูอารมณ์
    กรรมฐานแล้วลองน้อมทำดูตามความเข้าใจ อย่างสมาธิหมุนก็หมุนมาแล้ว
    และสมาธิแบบเปอร์เซีย หมุนกันจริงๆ ทั้งตัว ก็หมุนมาแล้ว ก็ทำให้เห็นการ
    ทำงานของสัญญาสังขารชัดดี เราหยุดหมุนแล้ว แต่ภาพในสมองมันแจ่ม
    ยิ่งกว่าตาเห็น แต่ทะลึ่งหมุนอยู่ได้ 180 องศา กว่าจะดับไป

    ก็ต้องขออภัย ผมอาจจะมักมาก มรรคไม่มาก ทางคุณฐาเขาก็เข้า ธรรมเอก
    ทางหนึ่ง ส่วนคุณขุนพล ก็เอาธรรมเอกมาใช้แต่ยังไม่ยอมน้อมเห็น น้อมเมื่อ
    ไหร่ก็จะชี้ว่า จะตรงกับหลวงปู่มั่น ซึ่งตรงจริงไหม ก็เป็นทัศนะของผม แล้ว
    จะทำอย่างไร ก็กราบขออภัย คุณขุนพลออกตัวว่ามาทางสายนี้อย่างสนิท
    แนบแน่น ผมก็แอบยิงคำถามใส่ก็เท่านั้น

    ยังไงรบกวนตอบคำถามผมหน่อยก็เป็นพระคุณยิ่ง ผมจะได้ทราบว่าไม่ทราบ
    อะไรบ้าง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กุมภาพันธ์ 2008
  5. khajonsak9999

    khajonsak9999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +1,536
    ผมจะบอกให้ฟัง ว่า ธรรมเอกนั้น ทั้ง พระโสดาบัน ทั้งพระสกิทาคามี อนาคามี และ พระอรหันต์ รู้เห็นอย่างเดียวกันหมด แต่ใครจะแจ้ง จนยกจิตไปอยู่ตรงนั้นได้ตลอด ก็ตามภูมิธรรม
    แต่ เห็นอย่างเดียวกัน ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค อย่างเดียวกัน เห็น นิพพานเหมือนกัน เห็นนิโรธ เหมือนกัน
    จะไปเห็นต่างกันได้อย่างไร
    .........................................................................
    คุณขุนพลครับ นี่ไงครับ คำตอบของคุณขันธ์
    .........................................................................
    ถ้าโสดาบัน เห็น เหมือนกันกับ สกิทาคามี หรือ เห็นเหมือนกัน กับ อนาคามี หรือ เห็น เหมือนกัน กับ อรหันต์ ........ผมว่า ยังไงก็เป็นไปไม่ได้ นอกจากว่า อรหันต์เห็นหมด ทั้งโสดาบัน สกิทา อนาคา อันนี้แน่นอน
    .................................
    แต่เห็นแบบคุณขันธ์นี่ ผมก็เพิ่งเห็นครับ
    .................................
    เล่นเอา ผมจุกอกเลยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กุมภาพันธ์ 2008
  6. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ท่านเอกวีร์ อย่าไปอ้อมค้อมเลยครับ ไม่เกิดประโยชน์ เอาตรงๆไปเลย
    ส่วนเรื่อง สมาธิ นั้น ท่านเอกวีร์ อย่าไปนำ ความคิด ของ ท่านขุนพล มาสงสัย
    เพราะว่า ผมผ่านมาแล้ว ผมทราบดี ว่า ท่านขุนพล กำลังพูดอะไร

    สำหรับ คุณจร
    เอกคตา ก็ เอกคตา ครับ
     
  7. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ผมถึงบอกแต่ แรกว่า ผมไม่อยากจะพูด เพราะจิตท่าน ไม่เปิด ทั้งคุณ จร และ คุณ ขุนพล นั่นแหละ
    ฟัง ท่านอื่น อธิบายก็แล้วกัน

    ส่วน คนอื่นผม ไม่รู้นะว่า ท่านได้ โคตรภูญาณกันหรือไม่ แต่ อย่างน้อย ภูมิวิปัสสนา ท่าน มองเห็นรูป นามกันดีพอ ที่จะแนะนำ ท่าน ขุนพล ได้
     
  8. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ผมถามคำถาม คุณ จร นะครับ ว่า นิพพาน มีหนึ่งเดียวหรือไม่
    เป็นไปได้หรือ ที่พระโสดาบัน เห็นนิพพานอย่างหนึ่ง
    พระสกิทาคาเห็นนิพพานอย่างหนึ่ง
    พระอนาคามีเห็นอย่างหนึ่ง
    พระอรหันต์ เห็นอย่างหนึ่ง

    กิเลส มันพาให้เห็นคนละอย่างนะ จำเอาไว้
     
  9. khajonsak9999

    khajonsak9999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +1,536
    ผมถามคำถาม คุณ จร นะครับ ว่า นิพพาน มีหนึ่งเดียวหรือไม่
    เป็นไปได้หรือ ที่พระโสดาบัน เห็นนิพพานอย่างหนึ่ง
    พระสกิทาคาเห็นนิพพานอย่างหนึ่ง
    พระอนาคามีเห็นอย่างหนึ่ง
    พระอรหันต์ เห็นอย่างหนึ่ง

    กิเลส มันพาให้เห็นคนละอย่างนะ จำเอาไว้
    ................................................
    คุณยกตัวอย่างมาดีมาก คำตอบก็คือ ประโยคสุดท้ายของคุณครับ
    ว่ากิเลสมันพาให้เห็นคนละอย่าง แล้วคุณขันธ์เชื่อว่า
    ......................................
    โสดาบัน สกิทา อนาคา เห็นนิพพานด้วยหรือครับ.....
    ......................................
    เท่าที่ผมรู้มา มีแต่พระอรหันต์ ขึ้นไปครับ จึงเห็นนิพพาน
    .....
    -ขอโทษที่เขียนผิด เพราะไม่เก่งทางท่องจำ<!-- / message -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กุมภาพันธ์ 2008
  10. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    คุณ จรครับ คุณ คิดว่า คนที่ไม่เคยเห็น ว่าเป้าหมายอยู่ตรงไหน นั้น จะสามารถพาตัวเองไปถึงเป้าหมายได้หรือ
    คุณคิดว่า พระสารีบุตร ผู้ได้ฟังธรรมแล้วบรรลุพระโสดาบัน ทันที ถ้าไม่เห็นธรรมเอก ท่านจะเห็นอะไร หรือครับ
    คุณคิดว่า พระโสดาบัน คือ ผู้ที่ไม่รู้จัก อริยสัจสี อันมี นิโรธ หรือ พระนิพพาน เป็น ตัวหลักหรือครับ

    คุณคิดว่า ผู้ที่ไม่เคยเห็น นิโรธ หรือ พระนิพพาน นี้ จะเป็นที่พึ่งให้ กับคนอื่นได้หรือครับ ในเมื่อตัวเองก็ไม่เห็น แล้วจะเอาอะไรไปสอนคนอื่น

    คุณ จร ต้องศึกษาให้มากกว่านี้
     
  11. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    สมเป็นศิษย์หลวงพ่อเกษมนะนี้ คุณขจร ว่าจะไม่วกไปหาท่านแล้วเชียว
    แต่เล่นยกอันนี้มา ผมก็ต้องพูดละนะ

    ที่หลวงพ่อเกษมยกมาว่า ปุถุชน โสดา สิกทาคา อนาคามี ไม่เห็นนิพพาน
    โดยยกพระสูตรบางส่วนมา แต่ไม่ยกบริบทของผู้ฟังธรรมมา ยกมาเพื่อ
    ชี้ว่า ทั้งหลายเหล่านั้น ยังมีกิเลส ยังไม่เห็นนิพพาน แล้วก็แทรกความเห็น
    ของท่าน ก่อนจะลงที่อุบายธรรมของท่าน โอนบุญ !!!

    ซึ่งบริบทของบทนี้ พระพุทธองค์มีความหมายจะชี้ว่า นิพพาน สถิตหรือยัง

    เพราะถ้าชี้ว่า ชนเหล่านั้นไม่เห็น ก็แล้วจะเกิด สาธุชนหรือ แล้วจะเกิดอุบาสก
    อุบาสิการหรือ เห็น กับ บรรลุอยู่ หรือ เห็นด้วยนมัสสิการ กับ เห็นเพราะสำ
    เร็จแล้วจนเห็นเป็ณญาณทัศนะอยู่ มันคนละเรื่อง

    ถ้า ปุถุชน โสดา สิกทาคา อนาคามี ไม่เห็น ก็ไปทำความเข้าใจ
    โยนิโสมนสิการใหม่ ธรรมข้อนี้เป็นดั่งแสงยามรุ่ง

    อย่ายกพระสูตรแบบกำบังอยู่เลย มันไม่ทั่ว


    * * * *

    แล้วอะไรนะ ปุถุชน โสดา สิกทาคา อนาคามี ไม่เห็นนิพพานหรอก ไม่มี
    ทาง หมดสิทธิ ดังนั้นมาโอนบุญกันก่อน

    เวรกรรมบางส่วน ผมขอยก ธรรมะดั่งแสงตะวันยามรุ่งให้คุณอ่าน
    นี้คือบทธรรมที่พึงสอนแก่ผู้ที่ยังไม่มีบารมี วาสนา เพื่อให้เขาได้เป็น
    หนึ่งในสาธุชน เป็นก้าวแรกที่เข้ามาในข่ายสัมมาทิฏฐิ มีบทอื่นที่
    ดีเลิสกว่านี้มีไหม แค่ข้อหนึ่งนี้ ก็สุดๆแล้ว

    (๑) กัลยาณมิตตตา ( ความมีกัลยาณมิตร คือ มีผู้แนะนำสั่งสอน ที่ปรึกษาเพื่อนที่คบหา และบุคคลผู้แวดล้อมที่ดี, ความรู้จักเลือกเสวนาบุคคล หรือเข้าร่วมหมู่กับท่านผู้ทรงคุณทรงปัญญามีความสามารถ ซึ่งจะช่วยแวดล้อม สนับสนุนชักจูง ชี้ช่องทาง เป็นแบบอย่าง ตลอดจนเป็นเครื่องอุดหนุนเกื้อกูลแก่กัน ให้ดำเนินก้าวหน้าไปด้วยดี ในการศึกษาอบรม การครองชีวิต การประกอบกิจการ และธรรมปฏิบัติ, สิ่งแวดล้อมทางสังคมที่ดี - having good friend; good company; friendship with the lovely; favorable social environment) ข้อนี้เป็น องค์ประกอบภายนอก (internal factor; environmental factor)


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กุมภาพันธ์ 2008
  12. khajonsak9999

    khajonsak9999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +1,536
    ที่หลวงพ่อเกษมยกมาว่า ปุถุชน โสดา สิกทาคา อนาคามี ไม่เห็นนิพพาน
    โดยยกพระสูตรบางส่วนมา แต่ไม่ยกบริบทของผู้ฟังธรรมมา ยกมาเพื่อ
    ชี้ว่า ทั้งหลายเหล่านั้น ยังมีกิเลส ยังไม่เห็นนิพพาน
    ....................................................
    ขอโทษครับ ผมไม่ได้ อ้างถึงหลวงพ่อเกษมเลยครับ ผมเอาปัญญาในหัวสมองของผมล้วนๆ นะครับ ขอร้อง อย่าดึงพระมาเกี่ยวครับ
    ....................................................
    ผู้รู้ทำไปเพราะเขารู้ ผู้เดินทางเพราะมีเป้าหมาย แต่เป้าหมายจะเป็นอย่างไร
    อาจยังไม่เคยเห็นก็ได้ แต่เชื่อว่าตัวเองเดินทางมาถูกเส้นทาง ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าชี้ไว้แล้วนี่.......เขาทำไม่ถูกหรือครับ
    ....................................................
    ก็ในเมื่อรู้ว่าเส้นทางอื่น ไม่ถึงเป้าหมาย...เรามาเดินในเส้นทางที่ถูกต้อง
    ....................................................
    ขอให้แยกด้วยนะครับว่า เป้าหมาย ก่อนเดินทาง(การรู้)
    กับเป้าหมายเมื่อเดินทางถึง(การรู้)............
    มันรู้ไม่เหมือนกันแน่นอน................
     
  13. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    อะไรมาเป็นตัวบอกคุณหละครับ ว่า คุณเดินมาถูกเส้นทาง พระพุทธองค์ชี้เอาไว้ แต่คุณเห็นหรือไม่
    คุณแค่เชื่อ แล้วคุณก็ทำตามความเชื่อคุณหรือ แล้วมันจะไปถึงหรือครับ
    ป่าลึก เดินทางยาก หากไม่รู้ทิศ แล้ว นี่ชีวิต คิดว่าจะเดินเข้านิพพานง่ายๆหรือ
     
  14. khajonsak9999

    khajonsak9999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +1,536
    และคนที่สอนคนอื่นเขาต้องสอนสิ่งที่เขารู้เท่านั้น
    ........................
    เขาไม่กล้าสอนในสิ่งที่เขาไม่รู้หรอกครับ
    โสดาบัน รู้แค่ไหนก็สอนแค่นั้น ถ้าจะสอนมากว่านั้น ก็ทราบแต่ ทฤษฏี ตอบคำถาม ของสกิทา ไม่ได้ สกิทา ก็ตอบคำถามของ อนาคาไม่ได้
    และ อนาคาก็ตอบคำถาม ของอรหันต์ ไม่ได้...........
    .........................
    หรือพวกคุณ มีข้อแย้งครับ...
     
  15. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    คุณ จร ครับ คุณยังต้องปรับอีกมาก วันนี้ผมหมดเมตตาแล้ว เอาไว้เวลาอื่นผมจะมาพูดให้ฟังใหม่
    ฟังท่านอื่นไปก่อนแล้วกัน
     
  16. khajonsak9999

    khajonsak9999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +1,536
    เห็นไหมสุดท้ายพวกคุณก็เริ่มตีรวนผม
    ........................................
    ขนาดพระพุทธองค์ทรงชี้ไว้....คุณยังมาถามได้ เคยเห็นไหม
    ........................................
    ถามมาได้ไงครับ......ยังกล้าถาม....เดี๋ยวคนอื่น เห็นตัวจริงหมดนะครับ
    .........................................
    ถ้าพระพุทธเจ้าชี้ไว้ แล้วยังไม่เชื่อ ผมก็เลิกคุยล่ะครับ
    .........................................
    โกรธผมแล้วหรือครับ
    ไม่พอใจผมหรือยังครับ
    ..................................
    กัลยาณมิตร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กุมภาพันธ์ 2008
  17. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    งั้นหรือ

    คุณลองอ่านในส่วนที่เป็น พุทธพจน์ นะ

    พระพุทธองค์ ยก กลัยาณมิตร โยนิโสมนสิการ และ ความไม่ประมาท มา
    แล้วสำทับในท้ายพระดำรัสทุกประโยคว่า "เพื่อความดำรงมั่นไม่เสื่อมสูญ
    ไม่อันตรธานแห่งสัทธรรม" ขอนี้เป็นไฉน

    ก็ธรรมทั้งสามนั้น มีส่วนไหนหรือไม่ที่ระบุลงไปแล้วว่า ทั้งสามส่วนนั้นต้อง
    มาจากผู้เป็นขีณาสพ จบการศึกษาแล้ว ก็หาไม่ กัลยาณมิตรนั้นชี้นิพพาน
    หรือ ก็หาไม่ ท่านต้องพิจารณา กัลยาณมิตรนั้น ก็ชี้ โยนิโสมนัสสิการนั่น
    เอง และ ชี้ความไม่ประมาทนั่นเอง การชี้สองส่วนนี้ คือการทึกทักแน่นอน
    แต่เหล่านี้ก็เป็นไปเพื่อการไม่สูญสิ้นของ สัทธรรม เราก็ต่างเป็นกัลยาณมิตร
    ก็มาชี้กันสิ ว่าเราประมาทข้อไหน เรายังไม่ได้ นมัสสิการ สภาวะธรรมใดไป
    ทดลองกัน
     
  18. ขุนพล พลมณี

    ขุนพล พลมณี บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ++

    กรณีคุณขุนพล


    การได้กระดาษขาวมา นั้นมีอารมณ์ใดระหว่าง รู้สึกว่าได้มา หรือ ว่ามันมีอยู่

    ?[/quote]

    ตรงนี้นะครับ เราต้องเข้าใจตรงกันตั้งแต่ต้น พอส่วนปลายจะได้ไม่ขัดแย้ง

    แรกเริ่ม เราต้องเข้าใจกรรมก่อน กรรมที่ส่งผลให้บุคคล ไปเกิดอยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบนั้น มีพ่อ แม่ แบบนั้น เรียน ทำงาน แบบนั้น
    อันนี้ผมมองว่า คืออารมณ์ที่เราจับตอนจะตาย คนที่มีอารมณ์แบบนี้จะต้อง
    ไปเกิดในรูปแบบนี้ สิ่งแวดล้อมนี้ เพื่อใช้จิต ตามอารมณ์แบบนี้ เศษกรรมคือ
    เศษของอารมณ์ ส่งผลในรายละเอียด
    เช่นว่า ชาตินี้มีฐานะปานกลาง แต่ใจบุญแจกทุกอย่าง ทำบุญทำทาน ทุกอย่าง
    พอเกิดมาชาติหน้า จึงต้องมาเกิดในตระกูลร่ำรวยเพื่อมีสิ่งแวดล้อม พ่อ แม่
    ที่รวย เพื่อจะได้ทำบุญทำทานต่อ มีแจกมากกว่าเดิม.

    ทีนี้เวลาที่เราเข้าฌานตัด ขันธ์ 5 อายตนะ 6 มาอยู่ที่ ลมหายใจเพื่อรู้ เพื่อสังเกตุการณ์ ในกรณีนี้ ผมไม่เรียกว่าส่งจิตออกนอก แต่เรียกว่ามาเป็นผู้รู้ มีสติจับที่กายสังขารคือลมหายใจ ก็จะเกิดภาวะที่จิตไม่มีการปรุงแต่ง จากข้อธรรมทั้งหลาย จึงเหมือนไม่มีจิตมีแต่ตัวรู้ที่ปราศจากการปรุงแต่ง เพราะภาวะนั้นมันปรุงไม่ได้อยู่แล้ว เพราะสติเหลือเพียงเล็กน้อย

    ก็จะเห็นว่าสภาพแบบนี้เกิดอยู่แบบนี้ เป็นการปราศจากการปรุงแต่งเป็นแบบนี้เอง

    พอถอนมาที่อุปจารจึงมีสติเต็ม แต่ยังอยู่ที่จิตพิจารณาธรรม คือไม่มีความรู้สึกถึงอายตนะ 5 เหลือเพียงจิตกับตัวรู้สภาพนั้นที่เห็นมา แล้วพิจารณาสิ่งที่มากระทบในใจ มันมาปรุงแต่งให้ดีใจ เสียใจ เฉยๆ โดยยังคงจับสภาพนั้นอยู่ พอได้ความละ ได้ความเห็นว่ามันก็สิ้นสุด ตรงนี้ที่ผมเองรู้สึกเฉยๆ ได้อารมณ์เฉยๆ
    ไม่เหมือนบางคนที่เขาบอกว่าได้ความเบื่อ แล้วละ แล้วดับ

    พอออกจากสมาธิเราก็เสพ ก็ทรงอารมณ์ตรงที่ไม่มีการปรุงแต่ง อารมณ์เฉยๆนี่แหละ เป็นปกติ สติดูอยู่ที่ลมหายใจ แต่มีความรู้ที่รู้ภาวะการไร้การปรุงแต่งนั้น
    มันรู้อยู่ในตัวแล้ว ถ้าจิตเราไปสัมผัสภาวะนี้ ภาวะรู้ สติก็จะไม่อยู่ที่ลมหายใจ จะไปอยู่ที่จิตเพื่อเสพธรรมละเอียดนี้

    ภาวะที่ไร้การปรุงแต่งในฌานนั้น ทำให้รู้ว่า ต้องทำอารมณ์แบบนี้ถึงว่างแบบนี้
    เมื่อว่างแบบนี้ก็ไม่มีการปรุงแต่ง ไม่มีภพ ไม่มีชาติเกิดอีกแล้ว
    ผมจึงเอาสติกำหนดที่ลมหายใจ เพื่อดูอย่างเดียว ทรงอารมณ์แบบนี้ใว้เพื่อว่างแบบนั้น เพื่อการสิ้นภพ สิ้นชาติ

    กระดาษขาวนั้นคือภาวะสิ้นภพสิ้นชาติ การทรงอารมณ์นี้เพื่อให้เห็นกระดาษขาวอยู่ตลอดเวลา เห็นเท่านั้น มันยังเฉยๆอยู่กับคำว่าสิ้นภพสิ้นชาติ
     
  19. ขุนพล พลมณี

    ขุนพล พลมณี บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0


    ที่ผมพูดก็จะบอกว่า ก็เข้าฌานให้ถึงที่สุดสิ ตัดกิเลสออกให้หมดสิ ก็จะเห็นนิพพาน เห็นความว่างอันเดียวกัน ใช้ฌานข่มมันเข้าไปให้สุด จะเห็นเหมือนกันเมื่อกิเลสหมด คุณก็เข้าใจว่ากิเลสมันพาให้เห็นคนละอย่าง ธรรมที่คุณว่ารู้ ก็กิเลสนั่นแหละ

    ตอนที่ออกจากฌานเมื่อไม่มีอะไรข่ม แล้วจิตปราณีตแค่ไหน ถึงเรียกอริยะขั้นไหน ตัดกิเลส เพื่อถึงสภาวะนี้ได้ มีปัญญาแค่ไหน
     
  20. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    งั้นถ้าผมพูดว่า

    กระดาษขาวนั้นเห็นแล้ว แต่ยังเห็นว่ามันเป็นที่ละเลงของสีสรร ซึ่งสีสรรนั้นก็
    มาจากขันท์ 5 อยานตนะ แต่ถ้าผมชี้ลงไปอีกว่า ขันท์ 5 อยานตนะ ไม่ได้ดับ
    มันทำงานของมันอยู่ แต่ด้วยอำนาจฌาณจึงกด ขันท์ 5 อยานตนะ ไว้ได้

    ถ้าผมชี้ใหม่ กระดาษขาวก็คือการดาษขาว ขันท์ 5 ก็คือขันท์ 5 ทั้งสอง
    ส่วนให้ยกขึ้นเป็นของถูกดู โดยธรรมเอก ท่านจะเข้าใจเป็นแบบไหน เป็น
    ไปได้ หรือ เป็นไปไม่ได้

    กระดาษขาว เมื่อกลายเป็นผู้ถูกดู และกองกิเลสอาสวะ(ขันท์) กลายเป็นผู้
    ถูกดู และนอกจากนี้ก็มีกรรมการที่ถูกดูเช่นกัน ทั้งสามนั้นชกกันให้ ธรรมเอก
    ดู เช่นนี้น่าสงสัยหรือไม่ มีความเป็นไปได้หรือไม่ เพราะถ้าทำได้ผมก็ชี้
    ว่า เมื่อไหร่เราเป็นคนดูนอกสังเวียน การไปมาของภพชาติ จะถูกเห็นทั้งหมด
    และเมื่อมันถูกรู้ถูกเห็นแล้ว มันก็จะดับให้ดู
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กุมภาพันธ์ 2008
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...